นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการขนาดใหญ่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ ระยะทาง 23 กม.ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีนโยบายให้เอกชนลงทุนในส่วนของงานระบบรถไฟฟ้าและงานวางรางในรูปแบบ PPPs ซึ่งนักลงทุนอาจเกิดความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและตัดสินใจไม่เข้าลงทุน
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางรองรับกรณีที่ไม่มีเอกชนสนใจยื่นข้อเสนอลงทุนระบบเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยอาจให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบกู้เงินมาลงทุน หรือใช้วิธีระดมทุนโดยการออกพันธบัตร เพราะภาครัฐมีข้อจำกัดไม่สามารถให้การสนับสนุนงบประมาณได้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น และจะส่งผลกระทบต่ออัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า และยังอาจส่งผลให้การเปิดใช้โครงการต้องล่าช้ากว่ากำหนด
"ผมคิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองมีผลกระทบแน่นอน เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น แม้บ้านเมืองจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ถ้าการแก้ไขปัญหาของประเทศไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกทาง ก็อาจเกิดปัญหาในอนาคตได้อีก แล้วจะมีนักลงทุนประเทศไหนเข้ามาลงทุนในบ้านเรา กระทรวงคมนาคมจึงต้องเตรียมแผนสำรองไว้ และยืนยันว่าโครงการรถไฟฟ้าต้องเดินหน้าต่อไปตามนโยบาย" นายโสภณ กล่าว
ส่วนการก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กม. มูลค่า 52,460 ล้านบาทนั้น ยังคงดำเนินการต่อไปตามกำหนด โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)กำหนดให้เอกชนที่ซื้อเอกสารประกวดราคายื่นข้อเสนอทั้ง 5 สัญญา ในวันที่ 29 เม.ย.นี้
ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการรฟม. กล่าวถึงการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและงานวางรางโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ว่า รฟม. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 ของพรบ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานและดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535แล้ว โดยมีนายเยี่ยมชาย ฉัตรแก้ว รองผู้ว่าการรฟม.เป็นประธาน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด โดยคาดว่าจะเซ็นสัญญาว่าจ้างเอกชนได้ภายในปี 53 หรืออย่างช้าต้นปี 54