นายวัชรพัธ วัชราภัย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ(NWR)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีความสนใจจัดซื้อที่ดิน รวมถึงอาคารที่ก่อสร้างไม่เสร็จ เพื่อนำมาพัฒนาโครงการต่อ รองรับโครงการในปี 54-55 เนื่องจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทนอกเหนือจากธุรกิจก่อสร้างที่เป็นธุรกิจหลัก ซึ่งปัจจุบันบริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 1-2 % ของรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจัดซื้อที่ดินเพิ่มจะต้องพิจารณาให้รอบคอบทั้งทำเล และความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้เสนอขายที่ดินกับบริษัทประมาณ 20-30 แห่ง ทั้งที่เสนอขายเองและผ่านนายหน้า แต่บริษัทยังไม่ได้เร่งรีบตัดสินใจ เพราะจะต้องมั่นใจว่าทำเลนั้นดี ซึ่งการตัดสินใจซื้อที่ดินเพิ่ม
"เราสนใจแต่ไม่ได้บอกว่าจะซื้อ อาจจะไม่เห็นการตัดสินใจซื้อก็ได้ เพราะต้องดูให้ดีในการลงทุนทำอะไร คุ้มไหมและอีกอย่างเรายังให้ความสำคัญกับธุรกิจก่อสร้างที่ยังเป็นธุรกิจเรา แม้ในปีนี้อาจจะไม่โดดเด่นมาก แต่ก็ไปได้ และอีกอย่างเราก็คิดว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเป็นเพียงตัวเสริมรายได้ให้เรา คงจะไม่เป็นนัยอะไรมากมาย และการซื้อที่ดินดังกล่าวเพิ่มคงจะต้องมีการประเมินสถานการณ์ควบคู่ไปด้วยทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และจังหวะที่เหมาะสมด้วย"นายวัชรพัธ กล่าว
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ซื้อที่ดินแห่งหนึ่งไปจากบริษัท อีสท์ แบงค็อค แอสเซ็ทส์ ซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท และจะเริ่มเปิดขายได้ในช่วงปลายปี 53 และทยอยรับรู้ในปี 54 เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับความสนใจ
"บริษัทต้องการมีผลกำไรคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เกิดจากผู้ประกอบการ เพราะการก่อสร้างมีความเสี่ยง ที่อาจไม่ได้รับการชำระเงิน หากโครงการขายไม่ได้ ดังนั้นบริษัทจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เอง ขณะเดียวกันผู้รับเหมาจะได้รับความเสี่ยงตรงที่ไม่มีหลักประกัน"นายวัชรพัธ กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 53 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 3,700-4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 3,400 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะเข้าไปประมูลงานใหม่ คาดว่าจะได้งานประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งงานส่วนใหญ่ยังเป็นงานจากภาครัฐ ขณะที่บริษัทยังมีงานในมือ (back log) รวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท และที่เหลือทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 56
ส่วนการรับงานใหม่นั้น ขณะนี้บางโครงการใกล้จะรู้ผลประมูล ซึ่งบางงานเป็นงานในต่างจังหวัดมูลค่าโครงการไม่มาก ขณะเดียวกันบริษัทก็เตรียมเข้าร่วมประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าต่อจากทั้งหมดที่มี 5 สัญญา
นายวัชรพัธ กล่าวว่า ฐานะการเงินของบริษัทขณะนี้ปรับตัวดีขึ้นหลังจากคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ลดทุน 931.74 ล้านบาท เดิมบริษัทมีขาดทุนสะสมประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2/53 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเหลือขาดทุนสะสมอีกกว่า 20 ล้านบาท แต่จะทยอยลดลงในปีนี้ และกลับมามีกำไรได้ จึงคาดว่าในงวดปี 53 บริษัทมีโอกาสจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้จ่ายปันผลมา 3-4 ปี