นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) คาดว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อน 2— 2.5% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 7.76 พันล้านบาท สาเหตุที่รายได้จะเพิ่มขึ้นมาจากการเพิ่มของปริมาณรถยนต์ที่ใช้บริการทางด่วนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 1 ล้านคันต่อวัน จากเดิมที่อยู่ประมาณ 9.5 แสนคันต่อวัน ขณะที่ไตรมาส 1/2553 ก็เชื่อว่ารายได้ของไตรมาส 1 ปีนี้จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ มีปริมาณการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 5% แม้ว่าช่วงเดือนมี.ค.รายได้เริ่มชะลอตัวลงหลังมีการชุมนุมทางการเมือง
ทั้งนี้ปัญหาจากสถานการณ์การเมือง ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถยนต์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และส่งผละกระทบอย่างหนักช่วงเดือนเมษายนซึ่งปกติจะเป็นช่วงที่มีรถยนต์ใช้ทางด่วนน้อยอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงปิดเทอมและมีเทศกาลวันหยุดยาว โดยในช่วงเดือนเมษายนทำให้รายได้ลดลงประมาณ 1 ล้านบาทต่อวัน
“เดือนเมษายนบริษัทจะได้รับผลกรทบจากปัญหาการเมืองแต่ทั้งปียังคาดว่ารายได้น่าจะโตได้อย่างน้อย 2% เพราะช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีปริมาณการใช้ทางด่วนโตถึง 5% จึงทำให้มั่นใจว่าปีนี้รายได้จะโตแน่นอน" นางพเยาว์ กล่าว
สำหรับรายได้ของบริษัทในปี 2554 คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากปีนี้ เนื่องจากปัญหาสัมปทานในปี 2554 ที่บริษัทต้องแบ่งสัดส่วนรายได้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทยใหม่ จากเดิมที่เป็น 50:50 เป็นการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ 60% และบริษัทได้ส่วนแบ่ง 40%แทน ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทลดลง เพราะโดยปกติในช่วงท้ายของสัญญาสัมปทานผู้ที่ได้ส่วนแบ่งมากกว่าจะได้ประโยชน์ เนื่องจากปริมาณการใช้ทางด่วนจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงท้ายสัญญาสัมปทานอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะลดต้นทุนทางด้านการเงินของบริษัท โดยตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้มีการรีไฟแนนซ์หนี้เพื่อลดภาระทางด้านดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทจะประหยัดเงินได้ปีละ 20 ล้านบาท และในปีนี้บริษัทมีการออกหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด ชุดละ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้อีกประมาณ 40 ล้านบาท และอีก 1 ชุด จำนวน 1.5 พันล้านบาทเพื่อเตรียมไว้คืนหนี้หุ้นกู้ที่จะครบอายุส่วนปีนี้จะออกหุ้นกู้อีกหรือไม่นั้น บริษัทคงต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง แต่ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นกู้ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้จากการที่บริษัทออกหุ้นกู้ในช่วงที่ผ่านมา ว่าสามารถขายออกได้หมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากบริษัทจะออกหุ้นกู้อีกครั้ง จะเป็นการออกหุ้นกู้แบบเฉพาะเจาะจง โดยจะขายให้กับนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น โดยบริษัทเหลือวงเงินการออกหุ้นกู้อีก 3.6 หมื่นล้านบาท