นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย ฟอเรน ฟิกซ์อินคัม 4เดือน1 (KTF4M1 ) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุโครงการ 4 เดือน เสนอขายตั้งแต่วันนี้-4 พ.ค.53 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
กองทุนจะพิจารณาความมั่นคงของผู้ออกตราสารเป็นหลัก และเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสม เมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ทั้ง 100% เครดิตเรตติ้งที่ AA โดยฟิทซ์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 1.30% ต่อปี และไม่เสียภาษี กองทุนดังกล่าวเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ
ส่วนผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นสามารถลงทุนในกองทุนเปิดกรุงไทย 10 เอ็ม10%ทริกเกอร์ฟันด์ ซึ่งจะเปิดจำหน่าย IPO ในราคา 10 บาท/หน่วย ถึงวันที่ 6 พ.ค.53 โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีปัจจัยพื้นฐานดี อายุโครงการ 10 เดือน โดยภายในระยะเวลาดังกล่าวหาก ราคา NAV ปรับขึ้นไปที่ 11 บาท เป็นระยะเวลา 3 วันติดต่อกันปิดกองทุนทันที พร้อมคืนเงินให้กับผู้ลงทุน โดยโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนเปิดกรุงไทยเซฟวิ่งฟันด์
นอกจากนี้ หากผู้ลงทุนที่สนใจกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เมทัล แอนด์ ไมน์นิ่ง โดยกองทุนจะลงทุนในกองทุนรวมหลัก ได้แก่ Allianz RCM Rohstoffonds บริหารโดย RCM ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำทั่วโลก ที่ดำเนินธุรกิจด้านเหมืองแร่และการผลิต คาดว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่น เปิดจำหน่าย IPO ถึงวันที่ 12 พ.ค.53 โดยทุกกองทุนลงทุนมูลค่าขั้นต่ำ 10,000 บาท ขึ้นไป
นายสมชัย กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเกาหลีใต้เริ่มปรับตัวลดลงหลังจากแกว่งตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสวอประหว่างสกุลเงินวอนและดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินวอนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุนในเกาหลีใต้ คือการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ยสวอป ระหว่างสกุลเงินบาทและดอลล่าร์สหรัฐฯ ตามอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งเกิดจากความกังวลจากปัญหาการเมืองในประเทศที่เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.00% ต่อไป