นายมงคลนิมิตร เอื้อเชิดกุล กรรมการ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในปี 53 คาดว่าจะมีความผันผวน แต่คงไม่รุนแรงเมื่อเทียบปี 51 ที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 140 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่บริษัทจะพยายามดูแลต้นทุนให้ต่ำ เพราะหากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ก็จะช่วยทำให้กำไรของบริษัทปรับสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 52 บริษัทมีปริมาณน้ำมันดิบและวัตถุดิบนำเข้ากลั่น เฉลี่ยอยู่ที่ 134,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งต่ำกว่ากำลังการผลิตของโรงกลั่น เนื่องจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกทียังผันผวน ยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทประเมินราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ยาก แต่บริษัทจะเน้นการให้บริการสถานีบริการน้ำมันที่ปัจจุบันมีจำนวน 537 แห่ง ให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 16.7% และเป็นอันดับ 2 ของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศ
รวมถึงมีการขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์หล่อลื่น หลังจากปี 52 บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นโมบิล 1 อยู่ในระดับสูง ทำให้บริษัทได้มีการขยายศูนย์โมบิล 1 เพื่อให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเพิ่มเป็น 18 แห่งทั่วประเทศ จากเดิมมี 8 แห่ง และปีนี้มีแผนจะเพิ่มศูนย์บริการดังกล่าวเพิ่มอีก
"คงจะลำบากกับการประมาณการในรายได้และกำไรของบริษัทในปีนี้ ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะตัวกำหนดอยู่ที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน แต่เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบคงไม่รุนแรงเท่าปี 51 ที่ถือว่าผิดปกติ ดังนั้นการที่จะดูแลบริษัทให้ดีที่สุด คือดูต้นทุนให้อยู่ระดับต่ำ เพราะเมื่อราคาน้ำมันสูง จะทำให้มาร์จิ้นเราดี และทำอย่างไรให้โรงกลั่นเราอยู่ได้ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว" นายมงคลนิมิตร กล่าว
นายมงคลนิมิตร กล่าวอีกว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ได้มีการชี้แจงถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าบมจ.ปตท.(PTT)จะเข้าซื้อกิจการของ ESSO ว่า เป็นเพียงข่าวลือ ยืนยันว่าบริษัทยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามปกติ แต่ยอมรับว่าการแข่งขันของสถานีบริการน้ำมันมีสูงและรุนแรง ดังนั้น การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทออกมาดี