นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายในปี 53 ที่เติบโต 4-5% จากปีก่อน แม้ผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ ทำให้บริษัทต้องปิดบริการสาขาที่ราชดำริ แต่ผลกระทบดังกล่าวมีไม่มาก เนื่องจากเป็นสาขาที่มียอดขายต่ำกว่า 10 ล้านบาท/เดือน หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของยอดขายทั้งหมด
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้กลยุทธโดยเพิ่มยอดขายสาขาอื่น ๆ มาชดเชย โดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัดซึ่งมียอดขายดีมาก รวมถึงสาขาใหม่ที่ทยอยเปิดบริการตั้งแต่ปี 51 โดยปัจจุบัน บริษัทมีสาขาทั้งหมด 68 แห่ง ขณะที่พนักงานประจำสาขาราชดำริ รวมถึงพนักงานสำนักงานจำนวน 600 คน ได้กระจายการทำงานไปลงที่สาขาอื่นๆ แทนเป็นการชั่วคราว
"ปีนี้คงเป็นปีที่ค่อนข้างเหนื่อย เพราะช่วงไตรมาส 4 ปีก่อน ยอดขายเราดีมากๆ โดยคิดว่าปีนี้จะดี แต่พอมีปัญหาการเมือง เราก็กลัวว่าจะกระทบเศรษฐกิจทำให้ผู้บริโภคลดลง และจากเรื่องนี้ ทำให้เราประเมินผลการดำเนินงานค่อนข้างยาก แต่เราก็จะทำให้ได้ดีที่สุดและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้"นางสาวรำภา กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยดังกล่าวบริษัทได้ปรับกลยุทธการขาย โดยการนำสินค้าแห้งมาจำหน่ายมากขึ้น รวมถึงสินค้าที่มีระดับราคาไม่แพง และการหมุนเวียนสินค้าขายให้เร็วขึ้น จึงทำให้ยอดขายไตรมาส 1/53 เติบโตค่อนข้างดีเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาส 2/53 เชื่อว่ายอดขายจะดีต่อเนื่อง เนื่องจากมีช่วงเทศกาลสงกรานต์หนุนยอดขายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ได้ให้นโยบายแต่ละสาขาสร้างยอดขายให้มากขึ้น เพื่อชดเชยผลกระทบจากการปิดบริการสาขาราชดำริ และเข้าหากลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น เช่น กลุ่มร้านค้ารายย่อย
นางรัมภา กล่าวว่า การขยายสาขาในปี 53 ยังคงแผนเดิมที่ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา ใช้เงินลงทุนรวม 2,000-2,500 ล้านบาท โดยในเดือน เม.ย.53 ได้เปิดสาขาแล้ว 1 แห่ง ที่ อ.มหาชัย ขนาดพื้นที่ 2,000 ตร.ม.และจะทยอยเปิดสาขาอีก 3 แห่งต่อไป
นอกจากนี้อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก นอกเหนือจากแผนเดิมโดยขึ้นอยู่กับทำเล และจังหวะเวลาที่เหมาะสม รวมถึงการทยอยเปิดสาขามินิบิ๊กซี จากปัจจุบันมีอยู่ 9 แห่ง โดยได้มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามาดูแล ซึ่งการเปิดสาขาใหม่ และมินิบิ๊กซี เชื่อว่าจะช่วยผลักดันยอดขายมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า