SCC คาด Q2/53 รายได้ชะลอลงจาก Q1/53 แต่ทั้งปียังมั่นใจโต 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 28, 2010 16:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย(SCC)เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/53 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่มักจะได้รับผลกระทบในช่วงฤดูฝนที่ทำให้การก่อสร้างลดลง ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีราคาผลิตภัณฑ์ก็เริ่มมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคา(สเปรด)อ่อนตัวลงด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจว่าจะทำได้คงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 53 ที่ 10% แม้ว่าจะมีปัญหาการชุมนุมทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม แต่ขณะนี้ทางเครือซีเมนต์ไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว แต่จะมีผลกระทบจากต้นทุนด้านพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 84 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาถ่านหินเพิ่มขึ้น 20-30% โดยธุรกิจของบริษัทจะใช้นาฟทาและถ่านหินเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งจะส่งผลต่อมาร์จิ้นของบริษัทลดลง

นอกจากนั้น ทั้งปี 53 เชื่อว่าความต้องการใช้ปิโตรเคมียังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากการเติบโตของตลาดรถยนต์ที่ปีนี้น่าจะทำสถิติยอดขายใหม่ ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มเคมีภัณฑ์เติบโตด้วย โดยรายได้ธุรกิจปิโตเคมีจะเติบโตมากกว่า 10% เนื่องจากมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากบริษัทร่วมทุน และรับรู้รายได้จากบริษัทร่วมทุน

ส่วนธุรกิจกระดาษปีนี้คาดว่าจะเป็นปีที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่จากโรงกล่องกระดาษลูกฟูกในเวียดนาม และโรงผลิตกระดาษขาว ที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งปีนี้จะรับรู้รายได้เต็มปี และเป็นปีแรกที่ธุรกิจกระดาษจะสร้างรายได้สูงกว่ากลุ่มซีเมนต์

สำหรับธุรกิจซีเมนต์ ยังคงเป้าหมายปริมาณการใช้ในประเทศเติบโต 5% เพราะเชื่อว่ากำลังซื้อในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ยังคงขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ส่วนโครงการลงทุนภาครัฐยังมีต่อเนื่องจากโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ดี

นายกานต์ กล่าวถึงการออกหุ้นกู้ของบริษัทว่า ในเดือน พ.ย.53 จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอนวงเงิน 5,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจะใช้วิธีการออกหุ้นกู้เพื่อชดเชย หรือใช้วิธีทางการเงินอื่น โดยปัจจุบันบริษัทมีกระแสดเงินสดกว่า 30,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม ขณะนี้มีความคืบหน้ามาก ทั้งในแง่ผู้สนใจเข้าร่วมทุน และการทำโปรเจ็คไฟแนนซ์ คาดว่าจะมีข้อสรุปชัดเจนในปลายปี 53

ด้านโครงการลงทุนในมาบตาพุด ขณะนี้ศาลอนุญาตให้มีการก่อสร้างได้แล้ว 6 โครงการ เหลืออีก 12 โครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งบริษัทได้เริ่มดำเนินการจัดทำ EIA-HIA และประชาพิจารณ์ ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/53 เชื่อว่าจะส่งผลต่อโครงการโอเลฟิน ที่จ.ระยอง ให้ล่าช้าออกไปเล็กน้อย จากตามแผนเดิมโครงการจะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 1/54


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ