นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทจะขยายการลงทุนเพิ่มอีก 3 โครงการ ในโครงการประเภทโคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และชีวมวล ภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ นอกจากมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า แล้วบริษัทยังมีความสนใจในธุรกิจเหมืองถ่านหิน ที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าในต่างประเทศด้วย
ขณะที่ปีนี้บริษัทยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตด้วยการขยายการลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้มีโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาใน สปป.ลาว จำนวน 4 โครงการ โดยมี 3 โครงการที่คืบหน้าตามกำหนดที่วางไว้ คือโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำที่ต้องการกักเก็บแล้วและจะสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าขั้นต้นได้ในปลายปีนี้ โครงการโรงไฟฟ้าหงสามีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 3 อยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หลังจากลงนามบันทึกความเข้าใจโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้ากับ กฟผ.
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนและโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก มีความคืบหน้าในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเขาค้อ จ. เพชรบูรณ์และส่วนขยายโรงไฟฟ้าประดู่เฒ่าที่บริษัทลงทุนแล้ว
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1/53 ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย หากพิจารณาจากรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.57 จากปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกัน เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า และต้นทุนทางการเงินลดลง ร้อยละ 34.82 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เนื่องจากอัตราค่าความพร้อมจ่ายปี 53 ที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ต่ำกว่าปี 52 จึงทำให้รายได้จากค่าความพร้อมจ่ายลดลงส่งผลต่อกำไรสุทธิของบริษัท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 386.01 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.94 และภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 30.38%
บริษัทฯ มีรายได้รวม 10,360.54 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 9,884.68 ล้านบาท รายได้ค่าบริการการจัดการ จำนวน 35.94 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ รวม 99.76 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกันรวมจำนวน 340.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 169.90
ปัจจัยสำคัญมาจากผลประกอบการของ บจ.ไตรเอนเนอจี้ (โรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้) ที่ดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยบริษัทฯ รับรู้กำไรส่วนแบ่งจากสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 50 เป็นเงินจำนวน 156.11 ล้านบาท นอกจากนี้ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบจ. ราชบุรีเพาเวอร์ (โรงไฟฟ้าราชบุรีเพาเวอร์) จำนวน 211.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.70 ล้านบาท หรือร้อยละ 29.10 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายรวม มีจำนวน 8,543.38 ล้านบาท โดยเป็นต้นทุนขายและการให้บริการ จำนวน 8,354.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 54.61 เนื่องจากโรงไฟฟ้าราชบุรีมีการหยุดเดินเครื่องตามความต้องการของระบบ (Reserve Shutdown) น้อยกว่าไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.86
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายในไตรมาสนี้ มีจำนวน 169.48 ล้านบาท ลดลง 90.52 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.82 และภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 190.41 ล้านบาท ลดลง 83.08 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 30.38 เป็น เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 52