นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ธนายง (TYONG) ระบุว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในช่วงบ่ายวันนี้จะหารือเพื่อสรุปราคาขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม จากเบื้องต้นที่กำหนดช่วงราคา 0.60-0.70 บาท/หุ้น หลังจากที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนขายหุ้นเพิ่มทุน และการแลกหุ้นกับบมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ(BTSC) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS
หลังจากนี้บริษัทจะกลายสภาพเป็นบริษัทโฮลดิ้ง และขอย้ายจากหมวดอสังหาริมทรัพย์เข้าเทรดในหมวดขนส่ง เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากรายได้หลักจะมาจากธุรกิจรถไฟฟ้า ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็จะทำควบคู่ไปด้วย ซึ่งหลังจากนี้บริษัทจะเข้าพัฒนาที่ดินในครอบครองของ BTSC ที่ส่วนใหญ่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้า โดยในเดือนมิ.ย.นี้จะเปิดตัวโครงการขนาดใหญ่ย่านพหลโยธิน มูลค่าโครงการเกือบหมื่นล้านบาท
ส่วนสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ ซึ่งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า BTS ทำให้ต้องปิดให้บริการบางสถานีและลดเวลาให้บริการลงในบางช่วงเวลานั้น ขณะนี้ภาพรวมยังไม่กระทบมากนัก โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ที่มีการหยุดให้บริการช่วงเช้าไป 4 ชั่วโมงก็กระทบรายได้ลดลงจากปกติราวกว่า 1 ล้านบาท/วันเท่านั้น
นายคีรี กล่าวว่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ย่านพหลโยธิน มูลค่าเกือบ 10,000 ล้านบาท เป็นการพัฒนาที่ดินของ BTSC ซึ่งโครงการดังกล่าวนั้นจะอยู่แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากนี้สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะเป็นรายได้จากการเดินรถไฟฟ้า BTS หลังจากบริษัทได้เข้าซื้อกิจการ BTSC ขณะที่รายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะลดลง และน้อยกว่ารายได้จากธุรกิจขนส่ง
สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท จะต้องมีความระมัดระวัง ซึ่งเห็นว่าโครงการที่จะขายได้ส่วนใหญ่จะอยู่แนวรถไฟฟ้า ดังนั้นการพัฒนาโครงการนอกเส้นทางรถไฟฟ้า ไม่สามารถคาดการณ์รายได้ในอนาคตได้ โดยบริษัทมีข้อจำกัด 2 เรื่อง คือ การมีกระแสเงินสดน้อย หากพัฒนาโครงการนอกแนวรถไฟฟ้า ก็เป็นห่วงการลงทุนที่อาจสร้างหนี้สินเพิ่ม โดยมีรายได้ไม่เพียงพอ
ดังนั้น จากนี้จะเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จากที่ดินของ BTSC ที่มีอยู่ 5 แปลง โดยโครงการที่พัฒนาแล้ว คือที่ดินที่ติดสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ชื่อ โฟร์พ้อยเชอราตัน ที่ดินย่านนานา ได้มีการเซ็นสัญญาพัฒนาโครงการดังกล่าวก่อสร้างโรงแรม 5 ดาวและคอนโดมิเนียม ที่ดินย่านพหลโยธินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว คาดพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ที่ดินย่านหมอชิต เนื้อที่ 15 ไร่ อาจพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม และออฟฟิศทาวเวอร์ของบีทีเอสกรุ๊ป และที่ดินแถวพญาไท
"รายได้การเติบโตของบีทีเอสจะเห็นเป็นตัวเลขเป็นตัวเป็นตนเร็ว และยังมีโครงการส่วนต่อขยายอย่างต่อเนื่อง" นายคีรี กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้อนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง ใช้ชื่อย่อ(BTS)หลังจากนั้นจะยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอย้ายเข้าหมวดขนส่ง เนื่องจากต่อไปจะมีรายได้หลักจากธุรกิจขนส่ง ซึ่งการที่บริษัทเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เพื่อความเข้าใจของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ
และจากนี้ไปบริษัทจะมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น หลังจากไม่มีการจ่ายเงินปันผลมาหลายปี เนื่องจากการได้เข้าซื้อกิจการ BTS ซึ่งมีผลประกอบการที่ดีมาก และการเติบโตของรายได้บริษัทจะมาจากการให้บริการรถไฟฟ้า BTS
ขณะที่การปิดบริการในบางช่วงจากการชุมนุมทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทไม่มาก โดยในช่วงนี้ที่รถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดให้บริการถึงเวลา 20.00 น. ทำให้รายได้ลดลงจากปกติอยู่ที่ 11 ล้านบาท/วัน เหลือ 9.5 ล้านบาท/วัน
"การที่รถไฟฟ้าบีทีเอสลดเวลาให้บริการหลายชั่วโมง ซึ่งช่วงวิกฤติก็ยังมีเงินสดเข้ามาขนาดนี้ จึงเชื่อมั่นว่าบีทีเอสจะมีกำไรที่ดี และเชื่อว่าจากนี้ไป การทำธุรกิจรถไฟฟ้าคู่กับอสังหาฯ น่าจะทำให้แข็งแรงต่อเนื่อง" นายคีรี กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าบริษัทคงต้องติดตามสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากสถานการณ์ดีขึ้น บริษัทพร้อมให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสตามเวลาปกติ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นตลอด และหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากบริษัทเข้าซื้อกิจการของ BTSC แล้ว ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะนำ BTSC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่