นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มเป็น 2.9 ล้านตันในปี 54 เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่ตั้งเป้าไว้ในระดับ 2.7 ล้านตัน และจะเพิ่มเป็น 3.1 ล้านตันในปี 55
ขณะที่แนวโน้มราคาเหล็กยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันราคาเหล็กแผ่นฯ สูงขึ้น 150 ดอลลาร์/ตันจากราคา 600 ดอลลาร์/ตันในไตรมาส 1/53 มาอยู่ที่ 750-800 ดอลลาร์/ตันในช่วงต้นไตรมาส 2/53 เนื่องจากราคาสินแร่เหล็กและราคาถ่านหินที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนผู้ผลิตเหล็กทั่วโลกปรับสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีนี้บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่ม เนื่องจากยังสามารถใช้กำลังการผลิตเดิมได้ แม้มีการเพิ่มเป้าหมายการผลิต โดยปีนี้คาดจะใช้กำลังการผลิต 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ขณะที่กำลังการผลิตเต็มที่ 100% จะอยู่ที่ 4 ล้านตัน
นายวิน กล่าวอีกว่า จากผลประกอบการไตรมาส 1/53 ถือว่าฟื้นตัวโดดเด่นจากความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เติบโตได้ดี ทำให้ความต้องการใช้เหล็กอุตสาหกรรมมีมากขึ้น ประกอบกับ การผลิตของผู้ผลิตเหล็กหลายรายยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ป้อนผลผลิตเข้าสู่ตลาดได้น้อย ขณะที่บริษัทมีการเพิ่มเป้าการผลิตที่สูงขึ้น และเพิ่มมูลค่าของสินค้าของบริษัท
ในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายตลาดส่งออกสินค้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากยอดขายบ้านในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น จึงเป็นโอกาสที่จะขยายตลาดส่งออก จากปัจจุบันเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 50,000 ล้านบาท จะมาจากการส่งออก 15% และตลาดในประเทศ 85%
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมุ่งเน้นการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะสต็อควัตุดิบ โดยมีแผนชัดเจนในการติดตามราคาเหล็กในตลาดโลก และเพิ่มการผลิตสินค้าพิเศษมากขึ้น ติดตามปริมาณสต็อคเปรียบเทียบปริมาณขายต่อเดือน เพื่อเก็บสต็อคที่เหมาะสม โดยมีการตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงดูแลเรื่องนี้ใกล้ชิด
และในปี 53 บริษัทยังมีเป้าหมายในการลดต้นทุนอีก 250 ล้านบาท จากปี 52 ที่ลดต้นทุนได้ถึง 400 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลดค่าใช้จ่ายจากปรับปรุงการผลิต ลดการสูญเสียในขั้นตอนการผลิต และลดการใช้พลังงาน
นายวิน กล่าวอีกว่า ณ สิ้นไตรมาส 1/53 มีกำไรสะสมจำนวน 473 ล้านบาท แต่เนื่องจากบริษัทยังมีส่วนลดมูลค่าหุ้นอีก 2,171 ล้านบาท จึงต้องใช้เวลาในการทำกำไรอีกระยะเพื่อลดภาระดังกล่าวก่อน จึงจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้
นายมารวย ผดุงสิทธิ์ ประธานกรรมการ SSI กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้ลดสต็อคลงเหลือ 2 เดือน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขาดทุนเหมือนปี 51 ที่มีการเก็บสต็อคถึง 3 เดือน ทำให้มีผลขาดทุนถึง 5 พันล้านบาท
"สต็อคปัจจุบันลงมาเหลือ 2 เดือน ถือว่าต่ำมาก บริษัทยังห่วงเรื่องการเสียโอกาส เพราะสต็อคน้อยไป แต่เราก็ไม่กล้าสต็อคมาก จากเดิมที่เคยสต็อค 3 เดือน และทำให้มีผลขาดทุนเมื่อปี 51 ถึง 5 พันล้านบาท เพราะขาดทุนจากสต็อคมาก ตอนนี้จึงลดเหลือ 2 เดือน"นายมารวย กล่าว