TPIPL คาดกำไรปี 53 สูงกว่าปี 52 แม้รายได้ทรงตัว ได้ธุรกิจพลาสติกหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 4, 2010 10:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ทีพีไอโพลีน(TPIPL)คาดกำไรจากการดำเนินงานปี 53 ดีกว่าปี 52 ที่มีจำนวน 1.88 พันล้านบาท แม้ประเมินรายได้ทั้งปีจะใกล้เคียงปีก่อน หลังจากกำไรสุทธิในไตรมาส 1/53 เติบโตกว่า 20% จากธุรกิจเม็ดพลาสติกทำกำไรได้มาก

ทั้งนี้ ปี 52 TPIPL มีกำไรสุทธิ 4,763 ล้านบาท โดยเป็นกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 1,879 ล้านบาท กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ จำนวน 3,117 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายเท่ากับ 24,926 ล้านบาท

ขณะที่ไตรมาส 1/53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 677 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.59% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ รายได้จากการขายมีจำนวน 6,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.52% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPIPL เปิดเผยว่า ในปีนี้รายได้และกำไรของบริษัทส่วนใหญ่หรือเกินกว่าครึ่งจะมาจากธุรกิจเม็ดพลาสติกที่แนวโน้มราคาปรับขึ้น ขณะที่ธุรกิจปูนซิเมนต์ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากความต้องการในประเทศทรงตัว ซึ่งเป็นผลจากปัญหาทางการเมือง และมีการตัดราคากันมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายได้จากการส่งออก โดยมีตลาดรองรับได้แก่ ลาว กัมพูชา และ พม่า

"ปีนี้ ธุรกิจเราดีมาจากเม็ดพลาสติก มากกว่า 50% คิดว่ากำไรในไตรมาสต่อๆไป ก็ไม่ต่ำกว่าไตรมาสแรก" นายประชัย กล่าว

TPIPl มีกำลังการผลิตปูนซิเมนต์ 9 ล้านตัน โดยมีการส่งออกประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งปีนี้อาจมีการส่งออกมากกว่านี้ ขณะที่กำลังการผลิตเม็ดพลาสติก LDPE มีจำนวน 1.4 แสนตันต่อปี

นายประชัย กล่าวว่า บริษัทไม่มีแผนขยายกำลังการผลิตทั้งธุรกิจเม็ดพลาสติกและปูนซิเมนต์ เพราะไม่มีที่ดินเพียงพอ แต่บริษัทได้หันมาดำเนินธุรกิจใหม่ ได้แก่ โครงการนำขยะมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงทดแทน ซึ่งทำให้สามารถลดปริมาณการใช้ถ่านหินลง 20-30% นอกจากนี้ พลังงานจากขยะยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าใช้ในโรงงานได้ด้วย

และ โครงการปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมัก ซึ่งได้น้ำหมักจากโครงการแปรขยะฯ เพื่อขายให้เกษตรกร ภายใต้เครื่องหมายการค้า"ทีพีไอ" โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 1 พันตัน/วัน

นอกจากนี้ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ขยายกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนเพิ่มอีก 18 เมกะวัตต์ จากเดิมที่ผลิต 36 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ปลายปีนี้

นายประชัย กล่าวว่า จำนวนเงินลงทุนทั้ง 3 โครงการเป็นระดับพันล้านบาท และคาดว่าในปลายปีนี้น่าจะเริ่มผลิตได้ทุกโครงการพร้อมเริ่มรับรู้รายได้ในปี 54 จึงเชื่อว่ารายได้ในปีหน้าจะเติบโตก้าวกระโดด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ