ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดิ่งลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ส่งผลให้มีการเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลง 225.06 จุด หรือ 2.02% ปิดที่ระดับ 10,926.77 จุด ซึ่งนับเป็นการทรุดตัวลงหนักสุดในรอบ 3 เดือน ส่วนดัชนี S&P 500 ตกลง 28.66 จุด หรือ 2.38% ปิดที่ 1,173.60 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 74.49 จุด หรือ 2.98% ปิดที่ 2,424.25 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาตั้งแต่ช่วงเช้าที่ตลาดเปิดทำการ โดยนักลงทุนส่วนมากต่างพากันส่งคำสั่งเทขายหุ้นออกมาเพราะกังวลว่า จำนวนเงินกู้ฉุกเฉินที่ชาติยุโรปมีมติช่วยเหลือกรีซแก้ปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณนั้นจะยังไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่า สเปนจะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและอาจต้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การที่ตลาดแกว่งตัวผันผวนมาอยู่ในแดนลบเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลังจากที่ตลาดปิดพุ่งขึ้นในการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาก็เป็นธรรมดาที่นักลงทุนจะเทขายทำกำไร นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบจากความวิตกกังวลต่อการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในกรีซที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมไปถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกรีซ รวมถึงสเปน และโปรตุเกส ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างผันผวน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลว่า ยุโรปจะสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่น และกระตุ้นความน่าเชื่อถือของสกุลเงินในประเทศได้หรือไม่ ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้ส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่าลงด้วย ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างหันไปถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยงเช่นพันธบัตรกันมากขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐระยะ 10 ปีร่วงลงแตะที่ 3.61% จากระดับ 3.69% เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงเกือบ 3% โดยมีหุ้นแอปเปิลทรุดตัวลง 2.88% ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารปิดร่วงลงอยู่ในแดนลบเช่นกัน โดยมีหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกาปิดรูด 2.8%