คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีมติให้แก้ไขหลักเกณฑ์การจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประเภทการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
และเมื่อ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับตลาดทุน มีมติให้แก้ไขหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจของผู้ได้รับจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าดังกล่าว ตลอดจนได้ออกหลักเกณฑ์เพิ่มเติมสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบธุรกิจประเภทนี้จะให้บริการที่มีคุณภาพแก่ผู้ลงทุน เสนอสินค้าที่เหมาะกับการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน และมีความมั่นคงทางการเงิน ไม่ก่อปัญหาให้แก่ผู้ลงทุนและระบบโดยรวม
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในส่วนของคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับจดทะเบียนเพื่อประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนซื้อขายหรือผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลูกค้าสถาบัน ก.ล.ต. จะเพิ่มความเข้มงวดในการกลั่นกรองผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะการเงินที่ดี ไม่มีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่แสดงว่าอยู่ระหว่างประสบปัญหาทางการเงิน และไม่อยู่ระหว่างถูกจำกัด พัก หรือระงับการประกอบธุรกิจ
และในกรณีที่ผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ค้าสัญญาฯ เป็นนิติบุคคลต่างประเทศจะต้องมีส่วนของผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยเป็นการประกอบธุรกิจนี้ในประเทศที่เป็นสมาชิก IOSCO (International Organization of Securities Commissions) และไม่มีประวัติความผิดเกี่ยวกับธุรกิจสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์หรือธุรกิจหลักทรัพย์ และเรื่องทุจริต
ในส่วนของหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจของผู้ได้รับการจดทะเบียนเป็นตัวแทนซื้อขายหรือผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมถึงผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ค้าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงเพื่อเพิ่มความคุ้มครองผู้ลงทุนมากขึ้น โดยกำหนดให้ต้องปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คำนึงถึงประโยชน์ลูกค้าเป็นสำคัญ และปฏิบัติต่อลูกค้าทุกรายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งต้องมีกระบวนการรู้จักลูกค้าอย่างเพียงพอและทบทวนข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในการเสนอสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่อลูกค้า และมีกระบวนการให้ลูกค้าทราบถึงข้อมูลและความเสี่ยงอย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ค้าสัญญาฯ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทหลักทรัพย์ได้รับใบอนุญาตแล้ว 7 บริษัท สามารถทำธุรกรรมได้เฉพาะกับผู้ลงทุนสถาบันเท่านั้น เนื่องจากเป็นธุรกรรมสัญญาซื้อขายนอกตลาด (OTC) ที่ไม่มีมาตรฐานเดียวกันและอาจมีความซับซ้อน ทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยอาจยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงในธุรกรรมดังกล่าวอย่างเพียงพอ