นักวิเคราะห์คาดเม็ดเงินไหลกลับหุ้นไทย H2/53 มองปัจจัยตปท.มีน้ำหนักกว่า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 6, 2010 18:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ (ไทย) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "วิเคราะห์ตัวเลขเศรษฐกิจ พิชิตหุ้นไทยครึ่งปีหลัง"ว่า ในครึ่งปีหลังเงินก็จะกลับเข้ามาในเอเชียหลังจากที่หายตื่นตระหนกเรื่องกรีซแล้ว เพราะเอเชียมีความเสี่ยงต่ำ จากหนี้ต่ำ ขณะที่หลายประเทศขณะนี้หนี้สูงมากทั้งหนี้ภาครัฐและเอกชน อีกทั้งอัตราการเติบโตของเอเชียดีกว่ายุโรป สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 เป็นไตรมาสที่โตสูงสุดในปีนี้ 7-9% แต่ไตรมาส 2 คาดว่าจะโตต่ำมากแค่ 2-3% ซึ่งก็ต้องระวังเพราะอาจมีการปรับเป้าผลประกอบการในอนาคต หากมีการปรับก็อาจจะมีผลกระทบต่อตลาด แต่อย่างไรก็ตาม มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังโต 3-4% หรือ 5% ก็มีความเป็นไปได้

"ช่วงไตรมาส 2 ที่มองโตต่ำมาก เพราะเป็นช่วงมรสุม มีความผันผวนพอสมควร ถ้าถือยาวต้องเลือกหุ้นดี หากทุกอย่างสงบหุ้นก็จะกลับมา และมอง 2-3 วันนี้ที่หุ้นตกเพราะมาจากความกังวลเรื่องกรีซ ที่อาจจะลามต่อไปยังสเปน โปรตุเกส และประเทศอื่นๆ ตามมา"

ส่วนผลกระทบต่อเอเชีย มองว่าจะกระทบต่อตลาดส่งออก แต่จะมากหรือน้อยขึ้นกับแต่ละประเทศ อย่างประเทศไทยพึ่งพาตลาดยุโรป 12-15% ของส่งออกทั้งหมด ผลกระทบโดยตรงน่าจะพอรับไหว แต่อย่างไรก็ตามต้องจัดพอร์ตให้ดี เพราะไม่มั่นใจกรีซจะคุมสถานะยูโร currency ได้หรือไม่

น.ส.อุสรา กล่าวว่า การปรับตัวลงของตลาดเอเชียระหว่างนี้เป็นแค่จังหวะการลงทุน ซึ่งช่วงจังหวะนี้เป็นจังหวะสะสมหุ้นเพราะมองตลาดเอเชียมีความน่าสนใจในระยะยาว แต่ช่วงสั้นเป็นเรื่องจังหวะเวลา กาปรรับพอร์ต ต้องอ่านเกมนักลงทุนต่างประเทศ

"มองว่าการขายเพื่อลดความเสี่ยง ไม่ใช่ทิ้งการลงทุนเหมือนช่วงก่อนหน้า โดยรวมเอเชียยังเป็นแกนหลัก เงินยังไหลเข้าตลาดเอชียได้" น.ส.อุสรา กล่าว

สำหรับอุปสรรคการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย คือ เรื่องการเมืองเพราะมีผลการท่องเที่ยว การบริโภค และความเชื่อมั่นต่อการลงทุน และปัญหามาบตาพุด จะทำให้การลงทุนต่างประเทศได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะเม็ดเงินจากต่างประเทศจะจำกัด

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า ในปีนี้ยังคงเป้าหมายดัชนีที่ 880 จุด แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนโต 16%จากปี 52 และโต 16% ในปี 54

ทั้งนี้ ให้น้ำหนักกับปัจจัยต่างประเทศ เช่น เรื่องของจีน กรีซ และดอกเบี้ยสหรัฐมากกว่า ปัจจัยในประเทศ เพราะมองว่านักลงทุนทุกคนรับรู้อยู่แล้ว

ทั้งนี้ ในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียน ยังไม่รวมปัจจัยการเมือง แต่การเมืองไม่น่ากระทบมาก เพราะบริษัทจดทะเบียนที่นำมาที่มานับรวมเป็หุ้นในกลุ่มพลังงานไม่ค่อยได้รับผลการเมือง

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำ ยังเป็นกลุ่มค้าปลีก อาหาร เช่น HMPRO MAKRO CPF SSI SCC โดยมองว่า กลุ่มค้าปลีกยังไปได้ แม้ว่าครึ่งปีหลังจะมองเรื่องเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ค้าปลีกยังได้ประโยชน์และมีความหวั่นไหวต่อเศรษฐกิจน้อย สินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มขนส่งจะได้รับผลบวกจากงาน Shanghai Expo


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ