นายอนันต์ เล้าหเรณู กรรมการ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส(LANNA)กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า คาดกำไรปี 53 รวมธุรกิจถ่านหินและเอทานอล คงจะไม่สูงกว่าปี 52 แม้ว่าปีนี้ถ่านหินยังมีราคาดี แต่ธุรกิจเอทานอลเผชิญกับปัญหาต้นทุนสูง หลังจากวัตถุดิบราคาถูกหมดไปแล้ว
"ปีนี้รายได้รวมสูงกว่าปีที่แล้ว แต่กำไรโดยรวมไม่สูงกว่า อาจจะไม่แตกต่างกับปี 52 เพราะกำไรจากเอทานอลหายไป แต่ก็จะมีกำไรจากถ่านหินชดเชยเพิ่มเข้ามา"นายอนันต์ กล่าว
เดิมช่วง 5 ปีที่แล้ว(สิ้นสุดปี 52)ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ผลิตเอทานอลเฉลี่ยอยู่ที่ 1,975 บาท/ตัน แต่ขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้นไปถึง 5,300-5,500 บาท โดยราคาปรับขึ้นมามากกว่า 150% ขณะที่ราคาขายปรับขึ้นตามไปไม่ทัน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเอทานอลคงไม่ถึงกับขาดทุน แต่กำไรคงหายไปมาก
ส่วนการขยายโรงงานเอทานอล 2 เพื่อให้สามารถใช้วัตถุดิบในการผลิตได้หลายอย่างทั้งอ้อย กากน้ำตาล และ มันสำปะหลัง คาดว่าจะแล้วเสร็จต้นปี 54 ซึ่งจะเพิ่มกำลังผลิตเป็น 3.5 แสนลิตร/วัน น่าจะช่วยให้กำไรดีขึ้นกว่านี้
"เอทานอลปีนี้จะซื้อวัตถุดิบที่ต้นทุนแพงกว่า กำไรก็จะหายไป การที่จะขยายโรง 2 ซึ่งคาดเสร็จต้นปี 54 ก็จะช่วยได้ คิดว่าปี 54 บริษัทจะกลับมามีกำไรเหมือนปกติ"นายอนันต์ กล่าว
นายอนันต์ กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้น่าจะสูงกว่าปีที่แล้ว เพราะสามารถผลิตและจำหน่ายถ่านหินได้เต็มปี ขณะที่ปี 52 ขายแค่ 9 เดือน เพราะช่วงไตรมาส 1/52 แทบไม่ได้ขายเลย โดยในปี 53 นี้บริษัทตั้งเป้ายอดผลิตและจำหน่ายถ่านหินประมาณ 2.5-3 ล้านตัน ขณะที่กำลังการผลิตทั้ง 2 เหมืองเต็มที่ 4 ล้านตัน
ปริมาณการผลิตและจำหน่ายในแต่ละช่วงเวลาขึ้นกับราคาขาย ณ ขณะนั้น อย่างเช่นในช่วงนี้ยังไม่เร่งขายเพราะราคาในประเทศยังต่ำ แต่ไตรมาส 1/53 กำไรธุรกิจถ่านหินดีกว่าไตรมาส 1/52 แน่นอน เพราะในช่วงไตรมาส 1/52 เหมือง 1 หยุดชั่วคราวตลอดทั้งไตรมาส และเหมือง 2 ก็ปิด แต่ปีนี้ผลิตได้ทั้งเหมือง 1 และเหมือง 3
ทั้งนี้ คาดว่าไตรมาส 1/53 จะรับรู้รายได้จากการส่งมอบถ่านหินบางส่วนของปริมาณที่ทำสัญญาขายไว้ 6 แสนตัน ที่ราคา 70 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งกำหนดส่งมอบครบทั้งหมดในครึ่งปีแรก และไตรมาส 2/53 รายได้ก็น่าจะดีต่อเนื่อง โดยรวมถ่านหินปีนี้ยังดี เพราะขายได้ทั้งปี และเศรษฐกิจฟื้นตัวดีชึ้นทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินในประเทศน่าจะสูงขึ้นด้วย
นายอนันต์ กล่าวว่า แนวโน้มราคาขายถ่านหินขณะนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น บริษัทมีสต็อก 1 เดือนเก็บไว้ขาย โดยจะไม่ทำสัญญาล่วงหน้ายาวๆ แต่ช่วงนี้เน้นขายที่ราคา spot ขณะนี้ราคาตลาดอยู่ในช่วง 55-60 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ในช่วงต่อไปราคาขายน่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ความต้องการใช้ถ่านหินก็น่าจะปรับตัวสูงขึ้นตาม แต่ก็ต้องขึ้นกับสถานการณ์ทางการเมืองด้วย
บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนซื้อเหมืองใหม่ แต่ยังไม่มีข้อยุติในขณะนี้ ปัจจุบัน บริษัทมีผลผลิตถ่านหินจาก เหมือง 2 แห่งที่ถือหุ้นอยู่ ซึ่งปริมาณผลิตเหมืองละ 2 ล้านตัน และกำลังพัฒนาเพิ่มกำลังการผลิตถ่านเหมืองแห่งที่ 2 เป็น 5 ล้านตันในปี 56 โดยสัมปทานเหมืองที่ 1 มีอายุคงเหลืออีก 21 ปีเศษ และเหมืองที่ 2 มีอายุคงเหลืออีก 29 ปีเศษ
"นโยบายยังคงพยายามหาแหล่งใหม่เพิ่มเติมในปีต่อๆไป ซึ่งกำลังเจรจาซื้อแหล่งใหม่ เพราะนโยบายลงทุนยังขยายตัวเพื่ออนาคต"นายอนันต์ กล่าว