ตลท.เผยมาร์เกตแคป เม.ย.ลด 3.08%จาก มี.ค.จากผลกระทบการเมืองต่อดัชนี SET

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 12, 2010 14:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)รายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในเดือน เม.ย.53 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวมของ SET และ mai ณ สิ้นเดือนเมษายน มีมูลค่า 6,176,814.29 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.08 จากเดือนก่อนหน้า ตามการปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์

ดัชนี SET ในเดือนเม.ย.53 ปรับตัวลดลงจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงจนกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดย SET Index ปิดที่ระดับ 763.51 จุด ลดลงร้อยละ 3.11 จากเดือนก่อนหน้า มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน สวนทางกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาคที่ปรับสูงขึ้นตามสัญญาณของพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง รวมทั้งจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ยังไหลเข้ามาในตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

SET Index ที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ค่าอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ ณ เวลาปัจจุบันและกำไรสุทธิต่อหุ้นคาดการณ์ (Forward P/E ratio) ของไทยปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 11.9 เท่า เป็น 11.3 เท่า ซึ่งต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ 13.5 — 16.8 เท่า

อย่างไรก็ตาม มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวัน ยังทรงตัวในระดับสูงและใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของเดือนมี.ค.53 การซื้อขายหลักทรัพย์ใน SET และ mai มีมูลค่ารวม 408,830.17 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวัน 24,935.01 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.07 จากเดือน มี.ค.53 แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายวันของทั้งปี 52 ซึ่งอยู่ที่ 18,226.25 ล้านบาท

มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์รวมแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนบุคคลทั่วไปมีมูลค่าซื้อสุทธิ 9,698.46 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนประเภทอื่นเป็นผู้ขายสุทธิ โดยนักลงทุนต่างประเทศมีฐานะเป็นผู้ขายสุทธิ 4,092.49 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสถานะจากการซื้อสุทธิต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศและบริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้ขายสุทธิด้วยมูลค่าขายสุทธิ 4,334.46 ล้านบาท และ 1,271.85 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 21.20 ในเดือนก่อนหน้า เป็นร้อยละ 24.58 ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดในรอบ 13 เดือน

มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายในหมวดพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย มาอยู่ที่ร้อยละ 31.70, 26.67 และ 8.46 ตามลำดับ สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการย้ายหมวดธุรกิจของ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF))

สำหรับสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มหลักทรัพย์ตามราคาตลาด พบว่ามูลค่าการซื้อขายเกิดการกระจุกตัวในหลักทรัพย์ขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น โดย 10 อันดับแรก (SET10) ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 38.32 ในเดือน มี.ค.53 เป็นร้อยละ 45.88 โดยทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 9 เดือน ขณะที่ สูงสุดอันดับ 31-50 (SET31-50) ปรับตัวลดลงอย่างมากจากร้อยละ 12.43 มาอยู่ร้อยละ 6.86


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ