บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ยังคงเป้ารายได้ในปี 53 ไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าแนวโน้มอาจจะออกมาดีกว่าคาด เนื่องจากไตรมาสแรกทำรายได้แล้ว 2.6 พันล้านบาท และช่วงไตรมาส 2/53 ก็ทำยอดขายรอรับรู้ไว้แล้วราว 6 พันล้านบาท ซึ่งหากรวมกันก็คิดเป็นกว่า 80% ของเป้าหมายดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3/53-ไตรมาส 4/53 จะมีการเริ่มทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียม 3 แห่ง ซึ่งมีมูลค่ารวม 6.3 พันล้านบาท
นายไตรเดชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร SPALI กล่าวว่า ในปี 53 บริษัทยังคงเป้ารายได้ที่ 11,000 ล้านบาท จากยอดขายที่ได้รับรู้รายได้แล้วในไตรมาส 1/53 จำนวน 2,900 ล้านบาท และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้อีก 6,000 ล้านบาทอีก รวมแล้วคิดเป็น 81% ของเป้าหมายรายได้ในปีนี้
ขณะที่ปี 53 ตั้งเป้ามียอดขายพรีเซลจำนวน 15,000 ล้านบาท และปัจจุบันมี backlog 18,300 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 6,000 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/53 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาส 1/53 เนื่องจากไม่มีการโอนคอนโดมิเนียม แต่ยอดขายไตรมาส 2/53 น่าจะใกล้เคียงระดับ 3,000 ล้านบาท โดยในเดือน เม.ย.มียอดขายแล้ว 970 ล้านบาท และช่วง 9 วันแรกของ พ.ค.53 มียอดขาย 320 ล้านบาทแล้ว และทั้งเดือน พ.ค. น่าจะมียอดขาย 1,000 ล้านบาท ขณะที่เดือน มิ.ย.หากสถานการณ์การเมืองดีขึ้น คาดว่าจะมียอดขายมากขึ้น เพื่อให้ยอดขายไตรมาส 2/53 เป็นไปตามคาดการณ์
ส่วนไตรมาส 3-4/53 จะเริ่มมีการทยอยโอนคอนโดมิเนียม 3 โครงการ รวมมูลค่า 6,300 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียมย่านท่าพระ มูลค่า 1,142 ล้านบาท คาดเริ่มโอนต้นไตรมาส 3/53 คอนโดมิเนียมศุภลัยปาร์ค เกษตร มูลค่า 3,100 ล้านบาท เริ่มปลายไตรมาส 3/53 หรือต้นไตรมาส 4/53 และศุภลัย พรีเมียร์สาธร-นราธิวาส อีก 2,150 ล้านบาท
นายไตรเดชะ กล่าวว่า ปี 53 บริษัทน่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 42-44% จากไตรมาส 1/53 มีอัตรากำไรขั้นต้นแล้ว 44% เนื่องจากคอนโดมิเนียม 3 โครงการที่รอโอนมีมาร์จิ้นสูงกว่า 40% แต่อัตรากำไรสุทธิในปีนี้คงปรับลดลงเหลือ 23-24% จากปี 52 อยู่ที่ 26% เนื่องจากไม่มีมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 3-4%
ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างในปีนี้ แนวโน้มปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึง 5% ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องปรับราคาขายขึ้นบ้าง ตามราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง
สำหรับแผนการออกหุ้นกู้ของบริษัท จำนวน 5,000 ล้านบาทที่ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น คงต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะออกขาย โดยพิจารณาจากต้นทุนดอกเบี้ยเป็นหลัก โดยปีนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อที่ดินจำนวน 3,500 ล้านบาท หากต้นทุนหุ้นกู้ต่ำ บริษัทก็พร้อมออกขาย แต่ปีนี้คาดว่าจะออกได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
ส่วนปัญหาการชุมนุมทางการเมืองขณะนี้ มองว่ายังไม่ได้ส่งกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า โดยยังมีลูกค้า walk in เข้ามาจองซื้อบ้าน แต่ยอมรับการเมืองกระทบต่อแผนการเปิดโครงการใหม่ จากเดิมที่จะเปิดโครงการใหม่ในเดือน มิ.ย. เลื่อนเป็นไตรมาส 3/53 ขณะที่มองว่าปัญหาการชุมนุมทางการเมืองก่อนหน้านี้ที่มีการปิดสนามปิด ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากกว่า
ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าตลาดน่าจะกลับมาคึกคักหากสถานการณ์การเมืองยุติลง โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ที่บริษัทมีการปรับผลิตภัณฑ์ใหม่ และจาก backlog ที่มีอยู่จำนวนมาก คาดว่าปีนี้จะมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง