นายชนินทร์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.ดุสิตธานี(DTC)ประเมินความเสียหายจากการชุมนุมทางการเมืองและเหตุการณ์จลาจลในช่วงที่ผ่านมาทำให้ทรัพย์สินและรายได้สูญเสียไปราว 200 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่ารายได้ในปีนี้คงไม่เติบโตจากปีก่อน จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตราว 15-20%
"ทั้งปีบริษัทหวังว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 15-20% จากปีที่แล้ว แต่พอเกิดเรื่องถ้าเราทำได้เท่ากับปีที่แล้วก็พอใจแล้ว" นายชนินทร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว
ทั้งจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นจนถึงการประกาศเคอร์ฟิว ทำให้ภาพพจน์ของประเทศไทยตกต่ำในสายตานักท่องเที่ยว โดยรายได้เริ่มลดลงตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.จนถึงปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.พ.)มีอัตราเข้าพัก 80% ถือว่าเป็นอัตราที่ดีมาก แต่พอถึงเดือน มี.ค.เริ่มลดลง จนมาถึง พ.ค.เหลือ 10% กว่าเท่านั้น และมีการปิดทำการไปถึง 1 สัปดาห์ รวมทั้งมีอาคารเสียหายบางส่วน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าวงเงินประกัน 1.4 พันล้านบาทจะคุ้มครองความเสียหายได้ทั้งหมด และในปีนี้บริษัทจะมีรายได้จากการบริหารโรงแรมต่างประเทศ 2 แห่งเข้ามาช่วยชดเชยได้บ้างแต่คงไม่มากนัก ส่วนปีหน้าเครือดุสิตธานีจะรับบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 4 แห่ง ทั้งที่ตะวันออกกลางและอินเดีย โดยในปี 52 บริษัทมีรายได้จากการบริหารโรงแรมทั้งในและต่างประเทศประมาณ 300 ล้านบาท
นายชนินทร์ กล่าวว่า ในวันนี้โรงแรมดุสิตธานี ซึ่งตั้งอยู่ที่แยกศาลาแดง เริ่มเปิดให้บริการได้บางส่วน หรือคิดเป็น 20-30% ของพื้นที่ทั้งหมด และคาดว่าภายใน 2-3 เดือนข้างหน้าจะสามารถเปิดให้บริการได้เต็มรูปแบบ จากจำนวนห้องพักที่มีอยู่ราว 500 ห้อง รวมถึงส่วนของสำนักงานและร้านค้าบางส่วน หลังจากกลับมาเปิดให้บริการในวันนี้แล้ว โรงแรมก็จะมีการทำโปรโมชั่นลดรคาประมาณ 15% ช่วง 2 เดือนจากนี้
อนึ่ง รายได้จาก รร.ดุสิตธานี สีลม คิดเป็น 20% ของเครือ DTC นอกจากนั้นยังมีรายได้จากโรงแรมของเครือในกรุงเทพ 3 แห่ง พัทยา หัวหิน และ เชียงใหม่ รวมทั้งโรงแรมในต่างประเทศ
นายชนินทร์ กล่าวว่า บริษัทยังไม่มั่นใจว่ารายได้จะดีกว่าปีก่อนหรือไม่ เพราะโรงแรมทุกแห่งในประเทศไทยได้รับผลกระทบทั้งหมด ซึ่งหากภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ได้ผล ก็หวังว่าการท่องเที่ยวของไทยจะกลับมาทันไฮซีซั่นในช่วง ต.ค.นี้ แต่รูปแบบของมาตรการที่ทางการจะนำมาใช้ไม่ควรจะเป็นรูปแบบเดิมต่อไปแล้ว เพราะครั้งนี้เป็นเหตุการณ์รุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
รวมทั้งเรียกร้องให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กระตุ้นนักท่องเที่ยวและเลือกคุณภาพนักท่องเที่ยวที่เข้ามา โดยเน้นเรื่องค่าใช้จ่ายต่อหัว อย่าดูแค่จำนวนนักท่องเที่ยวเท่านั้น นอกจากนั้นทาง บมจ.การบินไทย(THAI) และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT) จะเข้ามาร่วมปรับลดราคาเพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาให้มากขึ้น
"รัฐบาลต้องไม่กระตุ้นแบบเดิม เพราะครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไหนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาพที่มีการปิดถนนเผายางเผาตึก เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่เอกชนจะทำได้ฝ่ายเดียว" นายชนินทร์ กล่าว