บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม(TMI)คาดว่าในปี 53 กำไรของบริษัทจะเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้ที่ตั้งเป้าเติบโตราว 17-20% จากปีก่อน โดยบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 25% แม้ว่าปีนี้ต้นทุนจะค่อนข้างผันผวน นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนจะลงทุนตั้งสายการผลิตหลอดตะเกียบในช่วงไตรมาส 4/53 คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 15 ล้านบาท
บริษัทยังระบุว่าภายในเดือนมิ.ย.นี้คณะกรรมการบริษัทจะมีการประชุมเพื่อหารือถึงการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปี 52 ซึ่งคาดว่าจะนำเงินกำไรสะสมที่มีอยู่ราว 24 ล้านบาทมาใช้ในการจ่ายเงินปันผลครั้งนี้ ขณะที่สภาพคล่องบริษัทยังอยู่ในอัตราที่สูง
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ TMI กล่าวว่า กำไรในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับรายได้ที่คาดว่าจะเติบโต 17-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 300 ล้านบาท เนื่องจากสินค้าที่บริษัทจำหน่ายยังมียอดขายที่ดี ทั้งบัลลาสต์และหม้อแปลงไฟฟ้า ที่ทำรายได้หลักในสัดส่วน 63.08%
รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลอดไฟฟ้า ซึ่งในปีนี้บริษัทจะเริ่มผลิตเอง หลังจากนำเข้าเครื่องจักรมาแล้ว เหลือเพียงรอสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนผลิตหลอดไฟฟ้าแบบตะเกียบในช่วงไตรมาส 4/53 ภายใต้ยอดขายที่ 5 แสนดวงต่อเดือน จากปัจจุบันที่บริษัทมียอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 1 แสนดวงต่อเดือนเนื่องจากความต้องการใช้หลอดตะเกียบสูง เพราะเป็นหลอดไฟถนอมสายตาและประหยัดไฟ คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 15 ล้านบาท
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า บริษัทมีแผนในปีนี้จะเน้นตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดเอเชียใต้และอินโดนีเซีย ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการส่งออกปีนี้อยู่ที่ 10% และ 90% เป็นยอดขายในประเทศ แม้จะเน้นการเติบโตในต่างประเทศ แต่บริษัทยังให้ความสำคัญตลาดในประเทศมากกว่า
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเริ่มเจาะลูกค้าภาคราชการมากขึ้น โดยคาดว่าในไตรมาส 3/53 นี้จะเริ่มเห็นการเข้าไปประมูลงาน มูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท การประมูลงานดังกล่าวเป็นงานแรกของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าขณะนี้ต้นทุนของบริษัทมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเหล็กและทองแดงซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตบัลลาสต์ แต่ยังเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในปี 53 ไม่น้อยกว่า 25% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะบริษัทได้มีการคงต้นทุนบางส่วนไว้แล้ว และยังสามารถปรับราคาได้หากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นมาก
"รายได้ไตรมาส 2 คงลดลงจากไตรมาส 1 แต่เชื่อว่าจะดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อน เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น และมีเทศกาลสงกรานต์มีวันหยุดเยอะทำให้ร้านค้าสต็อกของน้อยลง"นายธีระชัย กล่าว
สำหรับไตรมาส 1/53 บริษัทมี EPS ที่ 0.04 บาท/หุ้น และคาดว่าปีนี้จะกลับมาอยู่ที่ 0.15 บาท/หุ้น จากปีก่อนตกลงไปอยู่ที่ 0.10 บาท/หุ้น