นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาสิริกรุ๊ป(THANA)เปิดเผยว่า ยอดพรีเซลและยอดรับรู้รายได้ของบริษัทในไตรมาส 2/53 จะลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 1/53 ที่มียอดรับรู้รายได้ 240 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว และการชุมนุมทางการเมือง ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อโครงการ และคาดว่าผลกระทบจะมีต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 3/53
ส่วนไตรมาส 4/53 คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ จ.นนทบุรี และ จ.ภูเก็ต แต่จะยังไม่พัฒนาโครงการที่พื้นที่อื่นๆ ในระยะ 1-2 ปีนี้ โดยพบว่าความต้องการซื้อของลูกค้าที่ จ.นนทบุรี ยังค่อนข้างสูง ส่วนที่ จ.ภูเก็ต บริษัทยังมีที่ดินอยู่ราว 105 ไร่ ที่หาดกมลา ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปรูปแบบการพัฒนาโครงการ ดดยอาจจะเป็นรูปแบบวิลล่าหรือคอนโดมิเนียม
"บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการตามกำหนดเดิม แม้ที่ผ่านมาจะทำให้คนชะลอการซื้อไปบ้าง แต่เรายังเห็นดีมานด์ที่จ.นนทบุรี และ จ.ภูเก็ต ทำให้เรายังเน้นการเปิดโครงการทั้งสองทำเล" นายสุทธิรักษ์ กล่าว
นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า ในปี 53 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่า 1,360 ล้านบาท และยังมีโครงการที่ขายอยู่ 6 โครงการ มูลค่า 2,121 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังมียอดขายรอโอน(backlog)จำนวน 140 ล้านบาท จึงทำให้เชื่อว่ารายได้ในปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมาย 850-950 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 660 ล้านบาท โดยรายได้ปีนี้มาจาก ที่ จ.นนทบุรี จำนวน 650-700 ล้านบาท และ จ.ภูเก็ต 200-250 ล้านบาท
และในปีนี้อัตรากำไรขั้นต้น(net profit margin)จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.5-10.5% จากปีก่อนอยู่ที่ 8.7% เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นและโครงการที่รับรู้รายได้ในปีนี้มีต้นทุนต่ำกว่าปีก่อน 1-2% รวมทั้ง ยังได้รับผลดีจากมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 1/53
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น(gross profit margin)เฉลี่ยอยู่ที่ 31-33% แม้ไตรมาส 1/53 อัตรากำไรขั้นต้นอยู่สูงถึง 36.4% ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการที่ขายได้ ส่วนใหญ่เป็นยูนิตที่อยู่หัวมุมถนน เป็นที่ต้องการของลูกค้า และโครงการที่อยู่ติดถนนใน จ.ภูเก็ต มีมาร์จิ้นสูง
ขณะที่กลยุทธของบริษัทจะเน้นการเร่งการก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือนครึ่ง จากเดิมใช้เวลาก่อสร้าง 9 เดือน ซึ่งเป็นกลยุทธนอกเหนือจากความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง
นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งงบซื้อที่ดิน 500 ล้านบาทในปีนี้ โดยได้มีการจัดซื้อที่ดินไปแล้ว 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 300 ล้านบาทอยู่ระหว่างพิจารณา
สำหรับราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคา IPO นั้น นายสุทธิรักษ์ เชื่อว่า เมื่อยอดขายมีทิศทางที่ดีขึ้น และเมื่อบริษัทมีการนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนรับรู้มากขึ้น ก็จะสามารถสะท้อนราคาหุ้นได้เอง