นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST เปิดเผยว่า ในปีนี้กำไรของบริษัทจะปรับลดลงอยู่ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อปี 49 จากปีก่อนที่มีกำไร 700 ล้านบาท เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนค่าคอมมิชชั่นเป็นแบบขั้นบันได แต่ส่วนมูลค่าการซื้อขายยังเชื่อว่าเฉลี่ยทั้งปี อยู่ที่ 20,000-21,000 ล้านบาท/วัน จากปีก่อนที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 18,000 ล้านบาท/วัน โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท/วัน ถือเป็นระดับที่น่าพอใจ ส่วน margin loan ที่มีอยู่กว่า 2,000 ล้านบาท ไม่ได้รับผลกระทบมาก
ทั้งนี้มองว่ามูลค่าการซื้อขายจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมการเมืองได้คลี่คลายลงแล้ว แต่คงต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศที่ถือเป็นตัวแปรที่อาจกระทบต่อมูลค่าการซื้อขายได้บ้าง และยอมรับว่าจากผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้คำสั่งซื้อของนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศลดลง แต่เชื่อว่า จะเห็นการทยอยกลับเข้ามามีคำสั่งซื้อในช่วงเวลาใกล้นี้ เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ โดยราคาหุ้นยังอยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบประเทศอื่น
"ในช่วงนี้คงต้องใช้เวลาในการพักฟื้นการที่จะบอกว่านักลงทุนต่างชาติจะโยกเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยตอนนี้คงลำบาก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เขาหวั่นวิตกรวมถึงเราด้วย ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ เพราะมีสำนักงานใกล้เซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้เราต้องมีระบบสำรองและเช่าพื้นที่เพิ่ม" นายมนตรี กล่าว
นายมนตรี กล่าวอีกว่า จากผลกระทบที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. ทำให้ระบบการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตเสียหาย ทำให้บริษัทไม่สามารถรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตได้ แต่เนื่องจากบริษัทได้มีการลงทุนซื้อระบบสำรองและเช่าพื้นที่สำรอง เชื่อว่าจะทำให้บริษัทกลับมามีมาร์เก็ตแชร์ในการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตได้ที่ 11%
โดยเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์ในปีนี้ ยังคงเป็นไปตามที่วางไว้ที่ 12-13% โดยยังเน้นการให้ความสำคัญในการดูแลฐานลูกค้าเดิม และงานวิจัย และปีนี้ยังเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจ IB ใกล้เคียงปีก่อน ที่อยู่ที่ 40 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีงานเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะเห็นงาน IPO 2-3 บริษัท และเป็น M&A 3-4 ราย รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ของบริษัท