บมจ.ยูนิเวนเจอร์(UV)คาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 53 จะเติบโตราว 60% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสังกะสีเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลาง 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แกรนด์ยูนิตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ในฐานะกรรมการผู้จัดการ UV เปิดเผยว่า UV ตั้งเป้าสร้างรายได้ในปี 53 เติบโต 60% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.36 พันล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 2.2 พันล้านบาท โดยรายได้จะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 50% และธุรกิจสังกะสีอ๊อกไซด์ 50% โดยบริษัทตั้งเป้าว่าในปี 2554 สัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 70% และสังกะสีอ๊อกไซด์ 30% ซึ่งเป็นความตั้งใจของบริษัทที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่บริษัทย้ายหมวดอุตสาหกรรม
ขณะที่ในไตรมาส 2/53 คาดว่ารายได้จะลดลงจากไตรมาส 1/53 เนื่องจากไตรมาสแรกเร่งโอนคอนโดไปแล้วกว่า 2 พันล้านบาท ในโครงการยู สบายพระราม4 กล้วยน้ำไทและโครงการยู ดีไลท์ บางซื่อ
สำหรับโครงการใหม่บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 3/53 จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อที่ดินโดยตั้งงบลงทุนในการซื้อที่ดินราว 400 ล้านบาท ทั้งนี้มองที่ดินใกล้แนวรถไฟฟ้าห่างไปประมาณ 1-1.5 กิโลเมตร และยังคงรูปแบบคอนโดมมิเนียมขนาดกลางราคา 1.5-2 ล้านบาท ซึ่งได้รับความนิยมสูง โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 2.6 พันล้านบาท โดยยอดขายจะมาจากโครงการที่จตุจักรและห้วยขวาง และปี 2554 ตั้งเป้ายอดขายที่ 3 พันล้านบาท โดยจะสร้างยอดขายจากโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุน 2 โครงการ
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนลดต้นทุนการก่อสร้างโดยลดเวลาในการก่อสร้างคอนโดฯ ขนาด 20 ชั้น ให้ใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี จากเดิมใช้เวลา 15-18 เดือน เพื่อลดต้นทุนด้านแรงงานการก่อสร้าง และภาระดอกเบี้ยซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรขั้นต้นสูงขึ้น โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% และอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 12% "แม้เราขายคอนโดฯ ระดับกลางราคาไม่สูงมากแต่มาร์จิ้นเราก็ดีไม่น้อยกว่า 30% และมีแผนลดต้นทุนเพื่อเพิ่มมาร์จิ้นให้มากขึ้นอีก โดยอยู่ระหว่างการศึกษาและเริ่มแผนการลดต้นทุนใน 2 โครงการใหม่ที่จะเริ่มในช่วงไตรมาส 3 หวังว่าจะลดต้นทุนได้ประมาณ 5-10%"
ด้านนางอรฤดี ณ ระนอง ประธานผู้อำนวยการ UV กล่าวว่า บริษัทยังคงทำธุรกิจด้านสังกะสีอ๊อกไซด์ควบคู่กับอสังหาริมทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยปีนี้บริษัทมีเป้าหมายในการขายสังกะสีจำนวนไม่น้อยกว่า 1.3 หมื่นตัน โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยปีนี้จะไม่น้อยกว่า 2 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน แม้ว่าปัจจุบันราคาปรับลดลงเหลือ 1.9 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน แต่มีความมั่นใจว่าทิศทางราคาจะไม่ปรับลดลงต่ำมาก เพราะความต้องการในตลาดยังคงมีอยู่แม้ว่าช่วงนี้อาจได้รับผลกระทบจากการที่เสรษฐกิจยุโรปชะลอตัวส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์บ้างแต่ยังมีความหวังว่าเพิ่มขึ้นในอนาคต
"เราตั้งเป้าว่าราคาสินค้าจะอยู่ที่ 2.4 พันเหรียญต่อตัน แต่ปีนี้ต้นปีขึ้นไป 2.2 พันเหรียญต่อตันแต่ก็ดร็อปลงมา หลังมีวิกฤตในยุโรปการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงแต่เราก็ยังมีความหวังและไม่ได้ปรับประมาณการราคาสังกะสีที่วางไว้"