นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.บัวหลวง(BLS) เผยวันนี้เริ่มเห็นสัญญาณต่างชาติกลับเข้ามาซื้อในตลาดหุ้นไทย แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถือลงทุนยาวหรือแค่เทรดดิ้ง โดยคาดว่าในเดือน มิ.ย.นี้ดัชนี SET น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 780-800 จุด หลังจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองคลี่คลายลงไปแล้ว ขณะที่ปัญหาวิกฤติหนี้สินของยูโรโซนน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปีที่เคยมองไว้ในระดับ 830 จุดนั้น แม้ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ มองว่าดัชนีอาจจะอยู่แค่ระดับ 800 จุด เนื่องจากยังต้องมีการประเมินสถานการณ์ช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะประเด็นเรื่องปัญหาในยุโรป ซึ่งฝายวิจัยจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาเป้าหมายดังกล่าวอีกครั้ง
แต่จากปัญหาความไม่สงบทางการเมืองทำให้ BLS ปรับคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยในปีนี้เติบโตลดลงเหลือ 14-15% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะเติบโตในระดับ 17%
นายชัยพร กล่าวว่า แม้ว่าต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อบ้างแล้ว แต่คงไม่มากนัก ดังนั้น ทิศทางตลาดน่าจะยังเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway จึงแนะให้เล่นหุ้นหมุนมากกว่าถือยาว โดยการเก็งกำไรเน้นหุ้นในกลุ่ม SET50 เป็นตัวตั้ง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะปิโตรเคมี, กลุ่มแบงก์ ให้เลือกลงทุน เช่น KTB และ KBANK ส่วนกลุ่มอาหาร แนะ CPF
ส่วนการจัดพอร์ตการลงทุนแนะนำให้ ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเหลือ 13% จากสิ้นปี 52 ที่ 21% และลงทุนพันธบัตรรัฐบาลเหลือ 52% จาก 55% โดยหันมาเพิ่มน้ำหนักลงทุนในทองคำ เป็น 11% จาก 4% และ น้ำมันเป็น 9% จาก 4% ขณะที่หุ้นกู้เอกชนยังสามารถลงทุนได้หากได้รับเครดิตในระดับ A ขึ้นไป
ทั้งนี้ มองว่าราคาทองคำสิ้นปีน่าจะปรับขึ้นไปถึง 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ดังนั้นหากราคาต่ำกว่าระดับดังกล่าวก็สามารถเข้าลงทุนได้ โดยคาดว่าน่าจะมีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 8-10% ขึ้นไป และ การลงทุนในน้ำมันก็ไม่อันตรายมากนัก แม้จะเสี่ยงมากขึ้น เพราะมีการคาดกันว่าหน้าเฮอริเคนปีนี้น่าจะรุนแรงมากกว่าปกติ ราคาน้ำมันขณะนี้ที่ 70 ดอลลาร์/บาร์เรลยังน่าสนใจเทรดดิ้งได้ เพราะมอร์แกน สแตนเลย์ประเมินไว้ที่ 95 ดอลลาร์/บาร์เรลในสิ้นปีนี้
นายชัยพร กล่าวว่า การจัดพอร์ตลงทุนดังกล่าวน่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่า 4.5% ในปีนี้ แม้ว่าในช่วงเดือน พ.ค.จะลดลงมาเหลือ 1% เพราะสถานการณ์รอบด้านไม่เอื้ออำนวย แต่สิ้นปีน่าจะได้ตามเป้าหมายแน่นอน
ด้านการลงทุนของต่างชาตินั้น นายชัยพร มองว่า สถานการณ์ทางการเมืองไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนักในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ เพราะเป็นแค่ปัจจัยระยะสั้นที่เมื่อเลือกตั้งใหม่สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป แต่ต่างชาติจะให้น้ำหนักกับเรื่องเศรษฐกิจและหนี้สินมากกว่า เพราะมีผลกระทบกับกำไรบริษัทจดทะเบียนโดยตรง รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในทวีปเอเชีย แต่น่าจะเป็นไต้หวันมากกว่า ซึ่งการกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยของต่างชาติเที่ยวนี้น่าจะมีการกระจายลงทุนไปยังประเทศอื่นมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากประเด็นทางการเมือง แต่ระยะสั้นยังมีปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในเอเชีย เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยคงจะชะลอออกไป บวกกับการปรับตัวลงมาของตลาดหุ้นเอเชียลึกมากแล้ว เมื่อตลาด oversold การจะขึ้นกลับไปได้ในระยะสั้นก็มีมากขึ้น