บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น(TICON) คาดปี 53 กำไรสุทธิจะเติบโต 20% ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 2.5 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 653 ล้านบาท แม้ว่ารายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 2/53 จะลดลงจากไตรมาส 1/53 เนื่องจากผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ซึ่งส่งผลให้บริษัทไม่มียอดขายโรงงานในไตรมาสนี้เลย โดยมีแต่ลูกค้าเช่าพื้นที่แทน
นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ TICON คาดว่า พื้นที่เช่าในไตรมาส 2/53 ใกล้เคียงไตรมาส 1/53 ที่ 22,000 ตารางเมตร แต่ในเดือน มิ.ย.เริ่มมีสัญญาณการกลับมาของลูกค้าบ้างแล้ว และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายและการเช่าพื้นที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แม้ในปีนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ารายเดิมมากกว่าลูกค้าใหม่
บริษัทคาดว่ารายได้ในปีนี้จะมาจากรายได้ค่าเช่า 900 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ค่าเช่า 810 ล้านบาท และยังมีรายได้จากการขายโรงงานเป็นสินทรัพย์ของกองทุน TFUND เพิ่มเติมอีก 1,800 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการบริหารและอื่นๆ
ส่วนอัตรากำไรสุทธิ(net profit margin)ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยมาอยู่ที่ 30% จากปีก่อน ที่อยู่ 28% เนื่องจากมีปัจจัยบวกจากการขยายกองทุน TFUND ที่เข้ามาในปีนี้ แม้ว่าการขยายกองทุนดังกล่าวจะเลื่อนไปเป็นเดือน ต.ค.53 จากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือน ก.ย.53 เนื่องจากความกังวลจากปัญหาการเมือง และขั้นตอนการขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่อาจล่าช้า
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าขยายพื้นที่ทั้งการสร้างโรงงานและคลังสินค้า พื้นที่รวม 120,000 ตารางเมตร เป็นวงเงินลงทุนรวม 1,200 ล้านบาท รวมถึงการทยอยซื้อที่ดินใหม่เนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ เพื่อรองรับกำลังซื้อที่จะกลับมา โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิคส์และยานยนต์ที่มีสัญญาณการกลับมามากที่สุด จากการเพิ่มกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมรถยนต์
สำหรับสัดส่วนลูกค้าของบริษัท แบ่งเป็น ลูกค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิคส์ 50% ชิ้นส่วนยานยนต์ 20% อาหาร 5% และอื่นๆ
"ช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราได้รับผลกระทบบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่กล้าเข้ามา จะมีแต่ลูกค้าเดิมที่ไม่ได้กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก และเราเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะคลี่คลายได้เร็ว เพราะไทยยังมีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบประเทศอื่น โดยเฉพาะเวียดนาม และแผนการลงทุนของบริษัทยังคงเดิม รวมถึงการขยายกองทุน ทั้ง TFUND และ TLOGIST ที่จะเห็นปีหน้า" นายวีรพันธ์ กล่าว