ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก:ดาวโจนส์ปิดลบ 323.31 จุด หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐโตต่ำกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday June 5, 2010 07:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (4 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังเผชิญกับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 323.31จุด หรือ 3.15% ปิดที่ 9,931.97 จุด ดัชนี S&P 500 ตกลง 37.95จุด หรือ 3.44% ปิดที่ 1,064.88 จุด และดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลง 83.86 จุด หรือ 3.64% ปิดที่ 2,219.17 จุด

ภาวะการซื้อขายในตลาดค่อนข้างเหงียบเหงาตั้งแต่ช่วงเช้าของการซื้อขายหลังจากที่ตลาดเคลื่อนไหวสู่แดนบวกตลอดทั้ง 2 วันก่อน ขณะที่เมื่อคืนนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้น 431,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งแม้ว่าจะเป็นอัตราการพุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2543 แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 508,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ อัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการจ้างพนักงานชั่วคราวของภาครัฐในส่วนงานสำมะโนประชากรจำนวน 411,000 ตำแหน่ง ขณะที่นายจ้างภาคเอกชนหลายรายยังคงมีความระมัดระวังในการจ้างพนักงานใหม่ โดยยอดการจ้างงานภาคเอกชนขยับตัวขึ้นเพียง 41,000 ตำแหน่ง ซึ่งลดลงจากระดับ 218,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. และเป็นระดับที่ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.

สำหรับอัตราว่างงานสหรัฐในเดือนพ.ค.อยู่ที่ระดับ 9.7% ซึ่งปรับตัวลดลง 0.2% จากระดับ 9.9% ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองว่า รายงานตัวเลขจ้างงานของสหรัฐซึ่งเป็นข้อมูลเศรษฐกิจลำดับล่าสุดในสัปดาห์นี้นั้นบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด ซึ่งหนึ่งวันก่อนหน้านี้นักลงทุนได้ส่งคำสั่งซื้อหุ้นในตลาดอย่างมากเพราะคาดว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง แต่การเปิดเผยข้อมูลจ้างงานกลับขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

ขณะเดียวกัน ปัจจัยลบอีกหนึ่งประการที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กคือ ความวิตกกังวลต่อปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปอันมีจุดเริ่มต้นจากกรีซ ซึ่งขณะนี้นักลงทุนกังวลว่า ฃปัญหาดังกล่าวจะขยายวงกว้างลุกลามต่อไปยังประเทศฮังการี ดังนั้น จึงไม่มั่นใจว่าชาติยุโรปจะสามารถยับยั้งวิกฤตหนี้สินในบางประเทศได้หรือไม่

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มบริษัทค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากนักลงทุนมองว่าภาวะซบเซาในตลาดแรงงานจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภค นอกจากนี้ หุ้นสถาบันการเงินร่วงลงอย่างรุนแรงเช่นกันท่ามกลางความกังวลว่าผู้ขอเงินกู้จะยังมีปัญหาในการผ่อนชำระเงิน ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบจากความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ทางการเงินที่ผันผวนในยุโรป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ