นายพิธาน องค์โฆษิต รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เคซีอี อีเล็คโทรนิคส์ (KCE) คาดว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 2/53 จะลดลงจากไตรมาส 1/53 ที่มีกำไรสุทธิ 180.98 ล้านบาท เหตุผลสำคัญมาจากค่าเงินบาทแข็งค่าเทียบกับเงินยูโรมาอยู่ที่ระดับ 38 บาทต่อยูโรในขณะนี้ จากไตรมาสแรกที่ผานมาอยู่ที่ระดับ 42-43 บาทต่อยูโร
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัท รับรู้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ 75% และ 25% เป็นเงินยูโร
ส่วนยอดขายในไตรมาส 2/53 คาดว่าไม่ต่ำกว่าไตรมาส 1/53 ทีมี 1,857.7 ล้านบาท (เทียบเท่า 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่อาจจะต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากช่วงที่รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวมีพนักงานบางส่วนไม่ได้เข้าทำงานเต็มที่ จากที่ทำอยู่ 3 กะ ทำให้การผลิตไม่ได้ตามที่วางแผนไว้
"ไตรมาส 2 คิดว่ายอดขายไม่ต่ำกว่าไตามาส 1 แต่ที่มองว่าดีอาจเปลี่ยนไป ได้รับผลกระทบจากการประกาศเคอร์ฟิว...แต่ผลกำไรสุทธิจะลดลงไปบ้างจากไตรมาส 1 เรามี loss exchange ถึงจะมีเงินยูโร 25% แต่คิดเป็นตัวเงินก็เยอะ" นายพิธาน กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
สำหรับวิกฤติการเงินในยุโรป นายพิธาน ยอมรับว่า กังวลมาตลอดตั้งแต่เกิดปัญหาในปีที่แล้ว บริษัทได้พยายามแก้ปัญหาโดยการหาลูกค้าใหม่จากในประเทศและญี่ปุ่นเข้ามาชดเชย รวมทั้ง เพิ่มออเดอร์จากลูกค้าเดิม
ส่วนออเดอร์ในช่วงเดือน ก.ค.อาจจะชะลอไป เพราะเป็นช่วงที่โรงงานในยุโรปหยุด 2 สัปดาห์ แต่ถือว่าออเดอร์ที่ลดลงไม่ได้มีนัยสำคัญ เพราะโดยรวมไตรมาส 3 ก็ยังเป็นไฮซีซั่น โดยคาดว่าออเดอร์ในเดือน ส.ค.-ก.ย.จะกลับมา ดังนั้น จึงยังคงคาดว่าทั้งปีบริษัทจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 240 ล้านเหรียญสหรัฐ
"เศรษฐกิจในยุโรปมีส่วนกระทบบริษัทแน่ๆ แต่ลูกค้าที่เราขายเป็นลูกค้าไฮเอนด์ คงกระทบแต่อาจจะไม่มาก เราส่งไปฝรั่งเศส และ เยอรมัน ส่วนทางอ้อมที่ส่งเข้าไปฮังการีก็มีบ้าง แต่เป็นส่วนที่เราทำน้อย" นายพิธาน กล่าว
ในไตรมาส 3/53 บริษัทจะเริ่มส่งสินค้าให้กับลูดค้าใหม่คือในไทย และญีปุ่น และมองว่าการไปเปิดสำนักงานที่ญี่ปุ่นจะรองรับการรับออเดอร์ในอนาคตที่ญี่ปุ่น แต่ในปีนี้คาดว่าลูกค้ายุโรปยังคงเป็นลูกค้าหลัก มีสัดส่วน 60-65% ขณะที่ลูกค้าในสหรัฐเติบโตขึ้นเป็น 15% จากปีก่อน 10% ส่วนเกาหลี มีสัดส่วน 10% ไทย 7% ญี่ปุ่น 1% ที่เหลือมาจากประเทศอื่น ๆ ในแถบเอเชีย