หุ้น TASCO ราคาขยับขึ้น 6.21% มาอยู่ที่ 38.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 88.98 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.37 น. โดยเปิดตลาดที่ 37.00 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 39.25 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 37.00 บาท
บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ปรับเพิ่มประมาณการบมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์(TASCO)ขึ้นอีก 27.8% เนื่องจากผลประกอบการงวด 1Q53 กำไรสุทธิ 317 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 50% จากประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิจัย ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีแม้จะชะลอตัวลงแต่ก็น่าจะยังอยู่ในระดับสูงกว่า 150 ล้านบาท/ไตรมาส ทำให้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 53 ขึ้นจากเดิมอีก 27.8% เป็น 811 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ได้ปรับลด Fair Value ลงจากเดิมที่ PER 10 เท่า ลงเหลือ 9 เท่า เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของผลประกอบการรายไตรมาสที่จะมีความผันผวนมากขึ้น จากการทำธุรกิจกลั่นยางมะตอย ซึ่งต้องมีการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการตั้งสำรองด้อยค่าสินค้าคงเหลือ และกำไร/ขาดทุนจากการทำสัญญาขายล่วงหน้าในแต่ละไตรมาส ที่ระดับ PER 9 เท่า ให้ราคาเหมาะสมที่ 47.82 บาท มี Upside 32%
ส่วนบทวิเคราะห์ของ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) แนะนำ “ซื้อ"หุ้น TASCO ที่ 48 บาท/หุ้น โดยจุดแข็งคือการมีโรงผลิตยางมะตอยทั่วประเทศ และการเดินเครื่องโรงกลั่นในมาเลเซียอย่างสม่ำเสมอ ทำให้บริษัทมียางมะตอยเพียงพอรองรับอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัวโดดเด่น เป็นผลจากการกระตุ้นการลงทุนในการก่อสร้างสาธารณูปโภคทั่วโลก
อีกทั้งการดำเนินงานนโยบายทางการเงินอย่างรัดกุม โดยการป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบและราคาผลิตภัณฑ์ ช่วยผลักดันให้อัตรากำไรยังทรงตัวในระดับสูงและหนุนให้ผลประกอบการใน 3 ปีข้างหน้าของ TASCO เติบโตอย่างแข็งแกร่งไม่ต่ำกว่า 21%
แม้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยใน Q2/53 จะปรับลงต่ำสุดที่ระดับ $65 ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะขยับขึ้นมาอยู่ที่ $72 ต่อบาร์เรล และแนวโน้มราคาน้ำมันอาจขยับขึ้นเป็น $70-$80 ต่อบาร์เรล ปัจจัยดังกล่าวสร้างโอกาสให้ TASCO ในการเข้าซื้อน้ำมันดิบเพิ่มเติมเพื่อรองรับอุปสงค์ในต่างประเทศที่ยังขยายตัว โดยเฉพาะในจีนที่มียอดการขายสินค้าล่วงหน้า ดังนั้น เป้าหมายการนำเข้าน้ำมันดิบที่ TASCO ตั้งไว้ที่ 6 ล้านบาร์เรล จึงมีโอกาสเป็นได้สูง โดย 1H/53 สั่งน้ำมันดิบแล้ว 3.8 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ แนวโน้มการก่อสร้างถนนในประเทศจะยังขยายตัวต่อเนื่อง ประเมินว่าถนนไร้ฝุ่นที่ยังเป็นนโยบายกระตุ้นการลงทุนหลักของรัฐบาล จะช่วยหนุนให้รายได้ปี 53 เพิ่มขึ้น 61% yoy เป็น 22,676 ล้านบาท สำหรับการประหยัดจากขนาดการผลิตและนโยบายการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Hedging Cost)คาดจะทำให้ TASCO สามารถรักษาระดับ GPM ให้อยู่ในระดับเหมาะสมที่ 8.05% เทียบกับ 7.69% ในปี 52 และส่งผลต่อเนื่องให้กำไรจากผลการดำเนินงานปกติปี 53 เพิ่มขึ้น 170% yoy เป็น 520 ล้านบาท