โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ" หุ้นบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) มองว่า แม้ไตรมาส 2/53 และ ไตรมาส 3/53 ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง แต่คาดว่าในไตรมาส 4/53 จะกลับมาฟื้นตัวตามการท่องเที่ยวในช่วง high season
ขณะที่บริษัทได้ธุรกิจอาหารมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง โดยจะมีการเติบโตอย่างโดดเด่นโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลแข่งขันฟุตบอลโลกที่กำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันนั้น ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่ารับรู้รายได้ในไตรมาส 4/53 จากโครงการ St.Regis
มุมมองต่อ MINT ยังค่อนข้างดี เนื่องจากมีความหลากหลายของธุรกิจ ช่วยกระจายความเสี่ยงทางด้านรายได้ แม้จะมีการปรับราคาเหมาะสมลงจากเดิมจากผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรม แต่ยังคาดว่าผลกำไรสุทธิปี 53 ของ MINT จะเติบโตได้ 14-18% จากปีก่อน
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น MINT ได้อ่อนตัวลงในช่วงนี้ เป็นจังหวะน่าเข้าเก็บสะสม
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท) สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ 14.50 บล.กสิกรไทย ซื้อ 14.20 บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ซื้อ 13.50 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 13.15 บล.ไอร่า ซื้อ 11.70
น.ส.นลิน วิริยะเสถียร นักวิเคราะห์ จาก บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส กล่าวว่า แม้ว่าธุรกิจโรงแรมของ MINT จะถูกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง แต่ธุรกิจอาหารยังเติบโตได้ดีทั้งแบรด์สินค้าใหม่ และการเติบโตในสาขาเดิม ส่วนโปรแกรมฟุตบอลโลกในช่วงไตรมาส 2-3/53 ก็จะช่วยเสริมตลาดการจัดส่งอาหาร(delivery market)ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีการขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้นด้วย
ขณะที่ ธุรกิจที่พักอาศัยจะช่วยผลักดันการเติบโตในปีนี้ โดยโครงการ St.Regis คาดว่าจะสร้างเสร็จในไตรมาส 4/53 และเริ่มรับรู้รายได้ ซึ่งขณะนี้มียอดจอง 5 ยูนิตจากทั้งหมด 53 ยูนิต
ส่วนธุรกิจโรงแรมคาดว่าในไตรมาส 4/53 น่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ และรัฐบาลก็มีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยรายได้จากธุรกิจโรงแรมมีสัดส่วน 30% ของรายได้รวม ส่วนธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 50% ของรายได้รวม
"ราคาหุ้น Oversold...เราได้ปรับราคาพื้นฐานจาก 15.60 บาทเป็น 13.50 บาท เมื่อช่วงเดือน พ.ค.จากธุรกิจโรงแรงมใกล้ราชประสงค์สูญเสียรายได้ไป เรายังคงแนะนำ ซื้อ"น.ส.นลิน กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.นครหลวงไทย คาดว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2-3 ปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก แต่มีมุมมองต่อบริษัท มีทรัพย์สินค่อนข้างมาก ฉะนั้น หลังจากผลกระทบครั้งนี้ผ่านไปแล้วน่าจะมีการฟื้นตัวเร็ว และบริษัทยังมีหลายธุรกิจ ทั้งโรงแรม อาหาร และค้าปลีก ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงส่วนหนึ่ง ขณะที่ธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็ไม่ได้แย่เหมือนธุรกิจโรงแรมในไทย
"ถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทในตลาด บริษัทที่ทำได้อย่าง MINT ยังไม่มี ดูแล้วปัจจัยบวกมีมากกว่าปัจจัยลบ ฉะนั้น ในไตรมาส 2-3 ที่ผลประกอบการ drop ลงมา ก็เป็นช่วงที่นักลงงทุนเข้าไปซื้อสะสมได้" นักวิเคราะห์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บล.นครหลวงไทย ได้ปรับเป้าราคาเหมาะสมลงมาจาก 15.40 บาทมาที่ 14.50 บาท และได้ปรับลดกำไรสุทธิลง 20.9% เป็นเท่ากับ 1,648 ล้านบาท และยังคงสะท้อนการเติบโต 17.7% yoy ในปีนี้
ขณะที่ บล.เอเซียพลัส คาดว่า ไตรมาส 2/53 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี และหดตัวจากไตรมาส 1/53 จากช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว และแรงกดดันจากเหตุการเมือง ทำให้ต้องปิดบริการโรงแรม 1 แห่ง, ร้านอาหาร และจุดจำหน่ายสินค้าคิดเป็นมูลค่าความเสียหายของรายได้ 102 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อชดเชยกับรายได้งวดไตรมาส 2/53 ที่จะเพิ่มขึ้นจากการควบรวมกิจการกับ MINOR เต็มไตรมาสกว่า 600 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 2/52 ที่รับรู้รายได้ธุรกิจดังกล่าวบางส่วนเพียง 116 ล้านบาท ประกอบกับ ธุรกิจโรงแรมและอาหาร ที่ตั้งอยู่นอกพื้นที่ราชประสงค์ ในต่างจังหวัดและต่างประเทศยังดำเนินงานตามปกติ นอกจากนี้ คาดอานิสงค์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เทศกาลบอลโลกและขยายสาขาร้านอาหารใหม่ต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมาย 88 สาขา จะผลักดันให้ธุรกิจอาหารเติบโตมากขึ้นทำให้เชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/53 ยังจะเติบโตได้จากไตรมาส 2/52
และหวังเห็นการฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 4/53 ซึ่งสอดรับแผนการเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งคือ อนันตรา มัลดีฟส์ รวมถึงรับรู้รายได้จากการขายคอนโดฯ ใน 4Q53 ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้รวมความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้ในประมาณการแล้ว ดังนั้น จึงคงประมาณการเดิม โดยปี 53 คาดส่าจะมีกำไร 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% yoy
"ประโยชน์จากการมีธุรกิจหลากหลาย ช่วยให้ MINT กระจายความเสี่ยง และได้รับผลกระทบในวงจำกัด นอกจากนี้การเมืองที่เริ่มคลี่คลายขึ้น ประกอบกับแผนขยายธุรกิจยังมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะผลักดันการเติบโตในระยะยาว น่าจะเป็นปัจจัยบวกในการขับเคลื่อนราคาหุ้นได้อีกครั้ง"บทวิเคราะห์ ระบุ