โบรกเกอร์ ประสานเสียงหนุนซื้อหุ้น บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค(DCC)จากแนวโน้มการสร้างรายได้และผลกำไรที่โดดเด่นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มราคาขายกระเบื้องและมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่องในปี 53-54 คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัทได้มากขึ้น ขณะที่มีความได้เปรียบจากการที่ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ยังมีความต้องการซื้อสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง
นอกจากนี้ การที่บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง จึงคาดว่าในปีนี้ บริษัทยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน
ทั้งนี้ ประเมินว่าในปึ 53 จะมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นจากปีก่อน โดยในแง่ของกำไรคาดว่าจะอยู่ในช่วง 1,045-1,120 ล้านบาท จากที่มีกำไร 994 ล้านบาทในปี 52 และคาดว่าปีนี้จะจ่ายปันผลราว 2.47-2.85 บาท/หุ้น
โบรกเกอร์ นะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ทิสโก้ ซื้อ 43.50 บล.เกียรตินาคิน ซื้อเมื่ออ่อนตัว 41.00 บล.ธนชาต ซื้อ 45.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 41.50 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 42.00 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ 44.00
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี ผู้จัดการส่วนวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า DCC มีความโดดเด่นในการสร้างรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้ โดยสินค้าของบริษัทมีลูกค้าหลัก คือ กลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสานที่ทำยอดขายให้กับบริษัทได้ดีมาก ดังนั้น เมื่อรายได้ภาคเกษตรดีขึ้นก็จะส่งผลถึงยอดขายบริษัทด้วย
ผลประกอบการของ DCC ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเติบโตต่อเนื่องทั้งในแง่ของยอดขายและกำไรสุทธิ หลังจากไตรมาส 1/53 มีกำไร 358 ล้านบาท โดยเฉพาะหลังจากบริษัทได้ปรับราคาขายเพิ่มขึ้นอีก 2 บาท/ตารางเมตร และจะมีการขยายกำลังการผลิต 3 แสนตารางเมตร/เดือน จากที่เพิ่มมาแล้ว 3 แสนตารางเมตร/เดือนในไตรมาสแรก และยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่องในปี 54 รวมแล้วจะมีกำลังผลิตเป็น 61 ล้านตารางเมตร/ปี
และคาดว่าทั้งปี 53 DCC จะมีรายได้ประมาณ 7,943 ล้านบาทคิดเป็นการเติบโต 35% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,405 ล้านบาท เติบโต 40% และประเมินว่าบริษัทยังจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องปีนี้ที่ 2.85 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7.5%
“กำไรในไตรมาส 1 โตโดดเด่นเพราะบริษัทมี Gross margin ที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมัน ก๊าซ ที่เป็นค่าขนส่งไม่ผันผวน และบริษัทยังมีการขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง คาดว่าไตรมาส 2 ผลประกอบการน่าจะดีต่อเนื่อง ส่วนไตรมาส 3 จะเป็นช่วง low season ซึ่งต้องรอดูต่อไป ส่วนการเมืองไม่น่ามีผลกระทบต่อยอดขาย เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นกลุ่มเกษตรกร"นางสาววิชชุดา กล่าว
บทวิเคราะห์ของ บล.ทิ่สโก้ ระบุว่า ยอดขายของ DCC เติบโตได้ต่อเนื่องแม้ว่าจะมีความวุ่นวายทางการเมือง ในทางตรงกันข้ามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังทำให้รัฐบาลให้ความสนใจกับประชาชนในต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น จึงคาดว่าจะทำให้รายได้ในต่างจังหวัดสูงขึ้น และ DCC น่าจะได้ประโยชน์
ผลประกอบการไตรมาส 2/53 คาดว่ายังคงแข็งแกร่งด้วยอัตราการเติบโตยอดขาย 15-16% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนใน เม.ย.-พ.ค.และอัตราส่วนกำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้นมาอยู่ที่ 45.6% ในเดือน เม.ย.เนื่องจากการปรับขึ้นราคาขาย 2 บาท/ตารางเมตร กำไรสุทธิของบริษัทน่าจะได้รับการกระตุ้นจากต้นทุนการขนส่งที่ต่ำลงตามราคาน้ำมันดีเซลในเดือน พ.ค.- มิ.ย.คาดว่าไตรมาส 2/53 กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 301 ล้านบาท ความต้องการในต่างจังหวัดโตอย่างต่อเนื่อง
“แม้ว่าจะมีความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบัน แต่ยอดขายของ DCC ใน 5 เดือนแรกยังโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ายอดขายในตลาดกรุงเทพฯจะลดลง 1.75% ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.แต่เราคาดว่าราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นน่าจะช่วยชดเชยปริมาณการผลิตที่ต่ำลงได้ นอกจากนี้ เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีนโยบายเพื่อกระตุ้นความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น"บทวิเคราะห์ ระบุ
ขณะที่สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) มอง DCC เป็นหุ้นปันผลที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ
ผลประกอบการไตรมาส 2/53 คาดว่า DCC จะมีผลกำไร 284 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 20% และมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพื่อชดเชยต้นทุนพลังงานที่สุงขึ้น และมีแผนขยายกำลังการผลิต 6 แสนตารางเมตร/เดือนในช่วงครึ่งปีหลัง จึงคาดว่าจะหนุนผลประกอบการปี 53 เติบโต โดยคาดว่าจะมีกำไร 1,120 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผล 2.47 บาท/หุ้น
แม้ประเด็นการชุมนุมทางการเมืองจะส่งผลต่อกำลังซื้อในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่ฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของ DCC อยู่ต่างจังหวัด คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 85% ของยอดขายรวม และการเดินเครื่อง 100% จากกำลังการผลิต 4.4 ล้านตารางเมตร/เดือน เพื่อรองรับกำลังซื้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ผ่านกลยุทธ์ส่งเสริมทางการขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มรายได้ของ DCC เติบโตได้