บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์(LPN)มองโอกาสเปิดปรับแผนขยายวงเงินซื้อที่ดินใหม่ในปีนี้ มองหาที่ดินแปลงใหญ่ขึ้นเพื่อขึ้นโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อความพร้อมเด่นเป็นจุดได้เปรียบคู่แข่ง และทำให้ยอดขายครึ่งปีหลังเติบโตมากจากครึ่งแรก แม้การเมืองจะกดดันยอดขายไตรมาส 2/53 แต่ยอดรับรู้รายได้พุ่งเด่น คาดว่าทั้งปีมีสิทธิทะลุเป้าไปแตะ 1 หมื่นล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าวกับ“อินโฟเควสท์"ว่า เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่อขออนุมัติในการขยายวงเงินซื้อที่ดินปี 53 เพิ่มขึ้นจากที่ตั้งไว้เดิม 2,000-2,500 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทต้องการซื้อที่ดินแปลงขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะเป็นจุดได้เปรียบคู่แข่งเพราะสามารถขยายโครงการต่อเนื่องได้ทันทีหากความต้องการมีมากขึ้น จากเดิมที่เปิดโครงการทีละเฟส และยังส่งผลดีต่อการบริหารต้นทุนดำเนินงานและค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าก่อสร้าง
บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินขนาดใหญ่ 2-3 แปลงคาดว่าจะสรุปผลได้ภายในต้นเดือนก.ค เพื่อนำมาพัฒนาโครงการในช่วงปลายไตรมาส 3/53 เบื้องต้นน่าจะพัฒนาโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นการพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้นจากแผนงานเดิม
ก่อนหน้านี้ แผนงานในไตรมาสนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ แต่ด้วยสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ส่งผลให้โครงการที่จะเปิดตัวในช่วงต้นเดือน มิ.ย.2 โครงการต้องเลื่อนออกไป โดยโครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ เกษตร นวมินทร์ จะเปิดโครงการปลายเดือนมิ.ย จากแผนเดิมต้น มิ.ย.ส่วนโครงการลุมพินีเพลส พระราม 9 เฟส 2 เลื่อนการเปิดโครงการเป็นช่วงต้นเดือน ก.ค จากแผนเดิมในเดือนมิ.ย.
นายโอภาส กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อบริษัท แม้จะไม่มากนักแต่เมื่อรวมกับช่วงวันหยุดที่มีค่อนข้างมาก จึงทำให้ยอดขายในไตรมาส 2/53 ลดลงจากไตรมาส 1/53 ที่มียอดขาย 6,500 ล้านบาท
แต่ในแง่ของยอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/53 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาส 1/53 ที่มียอดรับรู้รายได้ประมาณ 1,400 ล้านบาท เนื่องจากมีการรับรู้ฯโครงการเดิมที่เปิดตัวในช่วงที่ผ่านมาและรอโอนกว่า 3,000 ล้านบาท ทั้งโครงการลุมพินีวิลล์ บางแค มูลค่า 300 ล้านบาท และลุมพินี เพลส พระราม 9—รัชดา เฟส 1 มูลค่า 2,600 ล้านบาท
นายโอภาส กล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 53 คาดว่ายอดขายและยอดรับรู้รายได้ของบริษัทจะเติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เพราะเป็นช่วงฤดูกาลของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และความต้องการของผู้บริโภคในขณะนี้เริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทยังให้ความสำคัญลูกค้าขนาดกลางและระดับล่างอยู่เพราะมีความต้องการค่อนข้างมาก
ดังนั้น เชื่อว่าปีนี้ยอดรับรู้รายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 9,600 ล้านบาท และมีโอกาสที่เพิ่มขึ้นไปถึง 10,000 ล้านบาท จากยอดขายรอโอน(backlog)ที่มีกว่า 15,000 ล้านบาท
"การเมืองที่เกิดขึ้นก็ส่งผลในช่วงนั้น แต่ตอนนี้พอทุกอย่างนิ่งก็เดินไปตามแผนเดิมที่เราวางไว้ แม้จะมีการเลื่อนเปิดโครงการออกไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าเป็นกังวลมากจนต้องปรับแผนธุรกิจของเรา เพราะที่ผ่านมาการขายโครงการของเราที่มีอยู่ก็ขายดีมากคนเข้ามาต่อเนื่องตลอด และการเปิดโครงการใหม่ก็เป็นย่านที่ได้รับการตอบรับที่ดี มาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้มีประโยชน์ต่อการซื้อคอนโดฯ ส่วนปัญหาการเมืองมองว่ามีผลทางจิตวิทยาระยะสั้น ซึ่งขณะนี้แนวโน้มดีขึ้นแล้ว"นายโอภาส กล่าว