นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บีที ตั้งเป้าการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในสิ้นปี 53 เติบโต 15-20% ตามภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุน โดย ณ สิ้นปี 52 AUM ของบริษัทอยู่ที่ 19,000 ล้านบาท และปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาที่ 23,000 ล้านบาท
ปัจจัย ที่ส่งผลให้ AUM เติบโตขึ้นมาจากการที่ พ.ร.บ.ประกันเงินฝากจะมีผลในปีหน้า ประกอบกับ อัตราดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนมองหาทางเลือกการลงทุนรูปแบบอื่นนอกเหนือไปจากการฝากเงิน ทำให้กองทุนน่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในปีนี้ตั้งเป้าเปิดกองทุนใหม่มากกว่า 10 กองทุน อาทิ กองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 2 กอง โดยกองแรกจะมีสินทรัพย์เป็นคลังสินค้าในกทม.ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเจรจาตั้งกองทุน คาดว่ามูลค่าไม่น่าจะเกิน 700 ล้านบาท เปิดขายราวไตรมาส 3/53 และในช่วงปลายปีจะออกอีกกองทุนโรงแรมที่สมุย มูลค่าไม่เกิน 1 พันล้านบาท
ส่วนกองทุน ETF ต่างประเทศ จะเน้นสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันและทองคำ คาดเห็นราวไตรมาส 3/53 เนื่องจากขณะนี้ดอกเบี้ยต่ำ และตลาดหุ้นไทยยังผันผวน น่าจะเป็นการกระจายการลงทุน นอกจากนี้ ยังมีแผนทยอยออกกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้เพิ่มเติมอีก เนื่องจากกองทุนบางส่วนจะครบอายุแล้ว เพื่อสนองความต้องการของลูกค้า
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงต้นเดือนก.ค.นี้จะบริษัทจะเปิดขาย IPO กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธิ์ เมอร์เคียว สมุย ซึ่งเป็นกองทุนปิด จดทะเบียนซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และลงทุนซื้อขาดที่ดินและอาคารโรงแรม เมอร์เคียว สมุยบุรี รีสอร์ท เกาะสมุย จ.สุราษฎ์ธานี มูลค่า 828 ล้านบาท บริหารโดยกลุ่มแอคคอร์
กองทุนดังกล่าวมีจุดเด่นคือมีการประกันจ่ายปันผลขั้นต่ำแบบปีต่อปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.5-7% ในช่วง 5 ปีแรก นอกจากนี้ ในปีที่ 6 เป็นต้นไป ยังมีการประกันผลตอบแทนโดยผู้เช่า ตลอดอายุโครงการ
"เท่าที่คุยกับนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเพราะเป็นหลักทรัพย์พิเศษมีหลักประกัน และรายได้จากสินทรัพย์ยังได้รับการประกันจากเจ้าของ...อัตราการเช่าพักช่วงเดือน พ.ค. 76% ตอนนี้การเข้าพักถือว่าเต็มหมดแล้ว มี Booking ถึง ก.ค.-ส.ค.แล้ว และช่วง 5 เดือนแรกที่เปิดมากำไร 30 กว่าล้านบาท เชื่อว่าทั้งปีน่าจะมีกำไรดี จ่ายปันผลตามที่กำหนดได้"
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดการลงทุน บลจ.บีที กล่าวว่า บริษัทได้ปรับน้ำหนักพอร์ตการลงทุนในหุ้นมากว่า 80% จากช่วงที่มีเหตุวุ่นวายทางการเมืองที่มีสัดส่วนน้อยกว่า 80%
สาเหตุที่ปรับขึ้นเนื่องจากมองว่าหุ้นไทยยังมีพื้นฐานดี โดยยังมองเป้าดัชนีเดิมที่ 820 จุด แต่บอกไม่ได้ช่วงไหน อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/53 และตัวเลขเศรษฐกิจก่อน
"หลังจากเหตุการณ์ทางการเมืองสงบเชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจ รายได้ยังดี เชื่อว่าต่างชาติมีโอกาสกลับมาลงทุนในไทย เหตุปัจจัยไทยยังแข็งแรงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ รอดูไตรมาส 2 หากไม่สะดุดเชื่อว่าต่างชาติจะกลับมาก และมองว่าวิกฤติอียู ไม่รุนแรงเท่าครั้งวิกฤติแฮมเบอเกอร์"นายเจิดพันธ์ กล่าว