โบรกฯ แนะ"ซื้อหุ้น MCOT ลุ้นปันผลเพิ่มจาก BEC,new media ทำรายได้ปีหน้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 15, 2010 16:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.อสมท(MCOT)คาดปี 53 กำไรสุทธิเติบโตโดดเด่นหลังมีกำไรจากการที่ช่อง3 จ่ายส่วนเพิ่มค่าสัมปทาน 405 ล้านบาท ส่งผลให้จ่ายปันผลได้สูงขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ หากมีการบันทึกรายได้ภายในปีนี้ ส่วนปัญหาการเมืองกระทบน้อยมาก โดยคาดว่าการตัดเวลาออกอากาศปกติไปออกแถลงการณ์ของศอฉ.ในช่วงการชุมนุมจะมีผลกระทบต่อรายได้ราว 20 ล้านบาท

แต่การลงทุนธุรกิจ New Media ซึ่งจะเป็นความร่วมมือกับบมจ.กสท.โทรคมนาคม ในการให้บริการ Pay-TV โดยทาง MCOT จะลงทุนในด้านคอนเทนท์ ขณะนี้รายละเอียดยังไม่ชัดเจนทั้งด้านรายได้และการทำการตลาด แต่คาดว่าจะเริ่มในช่วงไตรมาส 3-4/53 และเริ่มเห็นรายได้ต้นปี 54

          โบรกเกอร์       คำแนะนำ       ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.กิมเอ็ง        ซื้อ             28.00
          บล.ธนชาติ        ซื้อ             25.50
          บล.ดีบีเอส        ซื้อ             27.50
          บล.ซิกโก้         ซื้อ             27.00
          บล.ทรีนีตี้         ซื้อ             30.00
          บล.นครหลวงไทย   ซื้อ             28.10
          บล.เกียรตินาคิน    ซื้อเก็งกำไร      30.75

น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มของ MCOT ยังคงมองเป็นบวก โดยคาดว่าทั้งปี 53 จะมีกำไรเติบโตจะเติบโตได้ 12% ขณะที่รายได้เพิ่มจาก 4.8 พันล้านบาทในปี 52 มาเป็น 5.2 พันล้านบาทในปีนี้

ประเมินว่าผลประกอบการไตรมาส 2/53 จะออกมาดีโดยเฉพาะจากรายได้หลักธุรกิจโทรทัศน์ เพราะรายการต่างๆสามารถขายโฆษณาได้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งปีนี้ได้แรงกระตุ้นจากการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกด้วย ทำให้มีรายได้เสริมทั้งรายการที่เกี่ยวกับฟุตบอลโลกและการจัดกิจกรรมที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วย

ส่วนรายได้จากธุรกิจ New Media ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ คาดว่ายังคงใช้เงินลงทุนไม่มากนัก เพราะการทำร่วมกับ บมจ.กสท.โทรคมนาคม ซึ่งทาง MCOT ลงทุนเพียงรายจ่ายด้านคอนเท้นท์เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนเท้นท์เดิมที่มีอยู่แล้ว แต่กว่าจะเห็นรายได้และกำไรคงเป็นปี 54-55

นอกจากนี้ MCOT จะมีการปรับผังรายการในครึ่งปีหลังซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปรับผังรายการช่วงนอกไพร์มไทม์และรายการช่วงข่าวเช้าวันจันทร์-ศุกร์ โดยสัดส่วนรายการบันเทิงจะอยู่ที่ประมาณ 30-35% เช่นเดิม ส่วนการปรับค่าโฆษณาอาจมีการพิจารณาปรับในช่วงไตรมาส 4/53 สำหรับรายการที่มีเรทติ้งดี

และ ยังมีการกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การประกวดหุ่นยนต์ชิงแชมป์ประเทศไทย การแข่งขันวอลเล่ย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย, หัวหินแจ๊สเฟสติวัล, การประกวดนางสาวไทย และ คอนเสิร์ต Girl Generation เป็นต้น อีกทั้ง Seasonal programme ที่ได้รับการตอบรับดีคือ AF7 จะเริ่มในช่วงไตรมาส 3/53

บริษัทยังได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติม 405 ล้านบาทจากบมจ.บีอีซีเวิลด์(BEC)ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ โดย MCOT คาดว่าอาจจะสรุปได้ในไตรมาส 3/53 โดยหากมีการบันทึกผลตอบแทนดังกล่าวในปีนี้เราคาดว่าจะทำให้กำไรของ MCOT เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมได้อีกประมาณ 0.30 บาท/หุ้นจากคาดการณ์ปัจจุบันที่ 1.90 บาท/หุ้นด้วย

นักวิเคราะห์บล.ธนชาติ แนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 25.50 บาท ทำให้เหลืออัพไซด์ไม่มากนัก เนื่องจากพื้นฐานของบริษัทไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ประกอบกับ บริษัทจะมีการลงทุนในธุรกิจ New Media โดยการร่วมกับ กสท.ในการทำ Pay TV นั้นรูปแบบยังคงไม่มีความชัดเจน การทำการตลาดและการแข่งขันเป็นเรื่องยากเพราะธุรกิจเคเบิ้ลทีวีในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว

MCOT มีแผนจะเปิดตัวธุรกิจสื่อใหม่ คือ ธุรกิจ Pay-TV โดยจะใช้คลื่นความถี่ของตัวเอง ภายใต้เทคโนโลยี Multichannel Multipoint Distribution Service (MMDS) หรือ Wireless Cable โดยมี กสท.เป็นหุ้นส่วนในธุรกิจนี้ โดยแผนขั้นต้น คือ CAT จะลงทุนในเครือข่ายและโครงข่ายพื้นฐาน ขณะที่ MCOT จะเช่าเครือข่ายและทำเนื้อหารายการในเครือข่าย

ทั้งนี้ MCOT คาดว่าจะใช้งบลงทุนในธุรกิจนี้ราว 500 ลบ.เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 3-4 ปีนี้ ถือว่าเป็นการลงทุนระดับสูง ขณะที่แหล่งรายได้จะอยู่ในรูปของรายได้โฆษณา และค่าธรรมเนียมสมาชิก ซึ่งผู้บริหารคาดว่าจะเริ่มเห็นรายได้ในช่วงไตรมาส 1/54 แต่ยังคงมองว่าเป็นธุรกิจที่มีทิศทางไม่ชัดเจนนัก

ในส่วนผลประกอบการบริษัทฯ ยังคงตั้งเป้ารายได้ไว้เหมือนเดิมคือเติบโต 5-7% จากปีก่อน โดยในปีนี้มีปัจจัยหลักผลักดันมาจากการเพิ่มขึ้นของอัตราการใช้เวลาโฆษณา โดยเฉพาะในช่วง non-prime time ธุรกิจหลัก คือ โทรทัศน์นั้นยังมีโอกาสเติบโตได้ไม่มากนัก เพราะอัตราการโฆษณาเกือบเต็ม 100% และยังไม่สามารถปรับเพิ่มค่าโฆษณาได้ในขณะนี้ เพราะผู้นำตลาดอย่างช่อง 3 และ 7 ยังคงราคาค่าโฆษณาอยู่

ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสฯ มองว่า แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/53 สดใส แม้มีการจลาจล เพราะปกติแล้วไตรมาส 2 จะเป็นฤดูกาลที่มีการโฆษณากันอย่างคึกคัก คือ เป็น high season นั่นเอง สำหรับผลกระทบในเรื่องต้นทุนจากการออกอากาศที่สูญเสียไปในช่วงที่มีการจลาจล คือมีแถลงการณ์จากภาครัฐเข้ามาแทรกในบางครั้ง เป็นเพียง 20 ล้านบาท ถือว่าน้อย

นอกจากนี้ ข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ จะมีการบันทึกค่าธรรมเนียมพิเศษที่มาจาก BEC ประมาณ 405 ล้านบาท หรือ 300 ล้านบาทหลังหักภาษี ค่าธรรมเนียมพิเศษนี้เกิดจากการขยายอายุสัมปทานต่อไปอีก 10 ปี โดย BEC จะมีการบันทึกใน 3Q53 แม้ว่าทางผู้บริหารยังไม่สามารถยืนยันถึงจำนวนเงินที่จะได้รับ แต่เราเห็นว่าไม่ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เนื่องจากการขยายอายุสัมปทานออกไปอีก 10 ปีนั้น ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ มี.ค.53 แล้ว

นอกจากนี้ MCOT ได้มีธุรกิจจากช่วงแข่งขันบอลโลกด้วย เราคาดว่าจะมีรายได้จากการนี้ ประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนความเสี่ยงจากธุรกิจสื่อใหม่ๆของ MCOT คาดว่าจะเกิดขาดทุนขึ้น 50-70 ล้านบาท ในปี 53 นี้

อย่างไรก็ดี คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีมากเป็น 8.9% ส่วนราคาพื้นฐานกำหนดไว้เป็น 27.50 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 53 ที่ระดับ 13.5 เท่า เทียบกับกำไรจากการดำเนินงานปกติต่อหุ้นปี 53 เราจัดลำดับให้ MCOT เป็น Top Pick ที่น่าซื้อลงทุนมากที่สุด ในหลักทรัพย์กลุ่มสื่อ

ด้านบทวิเคราะห์บล.ซิกโก้ ประเมินว่า แนวโน้มเม็ดเงินโฆษณาไตรมาส 2/53 ยังคงโดดเด่นแม้ได้รับความเสียหายจากกรณีปัญหาความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้น แต่ประเมินแล้วรายได้ของ MCOT อาจจะหายไปเพียง 20 ล้านบาท และได้มหกรรมฟุตบอลโลกมากระตุ้น เป็นปัจจัยบวกต่อเม็ดเงินโฆษณา ซึ่งผู้ประกอบการอัดเม็ดเงินเข้ามาในอุตสาหกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขายโดยเฉพาะผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่เนื่องจากการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีข้อกำจัดในช่วงเวลาออกอากาศ ทำให้การโฆษณาจะเป็นในรูปแบบอื่น หรือสร้างแบรนด์ด้วยการโฆษณาน้ำดื่มแทน

นอกจากนี้ ครึ่งหลังของปีคาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจาก การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่คาดจะกลับมาเติบโตขึ้นหลังความรุนแรงทางเมืองสงบลง และการแข่งขันของผู้ประกอบการเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วง ครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะมีความรุนแรงขึ้นอีก เนื่องจากต้องทำผลประกอบการให้ดีกว่าปีก่อน กลยุทธ์การบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้รายได้สูงขึ้น

ทั้งนี้ ในปีนี้ อสมท.ดำเนินกลยุทธ์การบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพ อันได้แก่ การปรับค่าโฆษณาในรายการที่ได้รับความนิยมสูงๆ, การตั้งราคาในระดับที่สูงของรายการใหม่ และ การให้ส่วนลด(discount)ที่ลดลงกับรายการที่ได้รับความนิยมมากๆ ซึ่งเป็นผลให้รายได้มีการเติบโตเพิ่มขึ้น แม้จะมีกำลังการผลิต(Utilization ในช่วงเวลา Prime Time และ Non Prime Time ที่ค่อนข้างสูงถึง 90% และ 80%

สำหรับบริษัท MCOT ยังคงโดดเด่นจากการรับรู้รายได้เพิ่มจาก TRUE ที่มีม็ดเงินจากการที่สามารถเผยแพร่โฆษณาได้ และได้ค่าธรรมเนียมพิเศษจาก BEC จำนวน 405 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3/53


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ