กลุ่มกระดาษ SCC คาดสรุปซื้อกิจการรง.บรรจุภัณฑ์ในตปท.มากกว่า 1 รายปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 17, 2010 14:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชวลิต เอกบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เปเปอร์ เครือ บมจ.ซิเมนต์ไทย(SCC)กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะสรุปผลการเจรจาซื้อกิจการธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในต่างประเทศมากกว่า 1 รายภายในปีนี้ จากที่อยู่ระหว่างการเจรจา 10 ราย โดยบริษัทจะเข้าซื้อกิจการในหลักร้อยล้านบาท ต่ำกว่าการเข้าซื้อกิจการโรงงานกระดาษที่ต้องใช้เงินสูงถึงหลักพันล้านบาท

"เม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในการซื้อกิจการดังกล่าว บริษัทได้รับการสนับสนุนจาก SCC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ซึ่งการเข้าลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจตามแผนงานในการเป็นผู้นำธุรกิจกระดาษครบวงจรในภูมิภาคทั้งในด้านการผลิตและการตลาด" นายชวลิต กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทมีฐานการผลิตอยู่ในเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ โดยปริมาณการผลิตรวมจะอยู่ที่ 2.2-2.3 ล้านตัน/ปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2 ล้านตัน/ปี ส่วนใหญ่เป็นกระดาษเพื่อบรรจุภัณฑ์ที่เหลือเป็นพิมพ์เขียนและเยื่อกระดาษ

นายชวลิต กล่าวว่า ในปีนี้ความต้องการกระดาษจะเพิ่มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับ การเกิดแผ่นดินไหวที่ชิลี ทำให้โรงงานที่ทำธุรกิจเยื่อกระดาษต้องปิดไปจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ราคาปรับเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่าราคาเยื่อกระดาษในปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นจาก พ.ค.ที่ราคาเยื่อกระดาษใยสั้นอยู่ในระดับ 820 เหรียญฯ/ตัน ขณะที่ราคากระดาษก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันเมื่อเทียบกับ พ.ค.53 ที่ราคาอยู่ในระดับ 1.0-1.1 พันเหรียญฯ/ตัน แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามปัญหาจากยุโรปที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการซื้อสินค้า เพราะทำให้เกิดความกังวลโดยทั่วไป

บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมในปี 53 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน โดยเฉพาะไตรมาส 1/53 ราคาสูงขึ้น 20% ขณะที่ปีนี้จะมีการรับรู้กำลังผลิตส่วนเพิ่มจากกโรงงานในเวียดนามเข้ามาด้วย ซึ่งมีการผลิตในอัตรา 80%ของกำลังผลิต หรือ 2.2 แสนตัน/ปี

นายชวลิต กล่าวอีกว่า ในปีนี้เอสซีจีเปเปอร์ยังให้ความสำคัญในการสร้างความได้เปรียบดานการแข่งขัน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม และตั้งเป้าการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า high value added นอกเหนือจากการมุ่งขยายสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียแล้ว การหาพันธมิตรหรือการควบรวมกิจการทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจและตลาดได้อย่างรวดเร็ว และในปีนี้ก็จะเน้นตลาดในประเทศมากขึ้นจากความต้องการที่สูงขึ้น โดย 80% เป็นการจำหน่ายภายในประเทศ และที่เหลือ 20% ส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากในประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ