บมจ.ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี(STA)คาดว่า ในครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้และกำไรจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะมองว่าราคายางยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ความต้องการในตลาดยังมีอยู่มากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ในจีนที่เติบโตสูง ขณะที่ซัพพลายในตลาดมีน้อย โดยปัจจุบันราคายางเฉลี่ยที่ 100 บาท/กก.จากปีก่อนอยู่ที่ 80 บาท/กก.(รวมราคาทั้งยางแผ่นรมควันชั้น3 ยางแท่ง และ น้ำยางข้น)
บริษัทตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิปี 53 จะสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.1 พันล้านบาท จากที่ประเมินรายได้ปีนี้เติบโตมาที่ 7 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับรายได้ที่สูงสุดเท่าที่บริษัทเคยทำมา เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ยาง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์มีเพิ่มขึ้นสูง ทำให้ระดับราคาปีนี้ปรับขึ้นสูงกว่าปีก่อน
"ปีนี้ราคายางเฉลี่ยดีทั้งปี รวมหมดทั้งยางแผ่น ยางแท่งและน้ำยางข้น เราคิดว่าแนวโน้มราคายางดีอยู่ คิดว่าครึ่งปีหลังก็ยังอยู่ในระดับสูง คือตอนนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ 3 พันเหรียญ/ตัน จากปีที่เลัวราคาเฉลี่ยประมาณ 2.5 พันเหรียญ/ตัน...รายได้ทั้งกลุ่มคิดว่าทั้งปีมี 7 หมื่นล้านบาทโตขึ้นมาก กำไรก็สูงตามรายได้"นายไชยยศ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร STA กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายไชยยศ กล่าวว่า บริษัทได้วางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไปถึง 1 ล้านตันต่อปี ภายใน 5 ปีนี้ ซึ่งรวมกำลังการผลิตในอินโดนีเซีย มีแผนใช้งบปีละ 1.5 พันล้านบาท โดยในปีนี้จะขยายการผลิตในประเทศ 2 โรงงาน ที่ จ.หนองคาย และจ.บุรีรัมย์ เป็นโรงงานยางแท่ง และ ในอินโดนีเซีย ใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท/โรงงาน
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตในประเทศ 4 หมื่นตัน/ปี และปีนี้เพิ่มกำลังการผลิต 1 หมื่นตัน/ปี หรือ 25% ส่วนในอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิต 1 แสนตัน/ปี จาก 2 โรงงาน และปีนี้จะขยาย 1 โรงงาน กำลังการผลิตราว 1 แสนตัน/ปี และวางแผนจะขยายโรงงานเพิ่มเป็น 6 แห่ง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตแห่งละ 1 แสนตัน
นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนระยะยาวในการหาพื้นที่ปลูกยางในพื้นที่ทางภาคเหนือและอีสานภายใน 10 ปีนี้เริ่มตั้งแต่ปีนี้ โดยรวมตั้งเป้าพื้นที่ปลูกยาง 1 แสนไร่ ซึ่งจะทยอยเพิ่มพื้นที่ปลูกปีละ 1 หมื่นไร่ เพื่อสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบพร้อมมีวัตถุดิบป้อนโรงงานในกลุ่มที่จะขยายการผลิตต่อเนื่อง
"เป็นโอกาสที่เห็นแนวโน้มราคายางสูงขึ้น โดยอุตสาหกรรมรถยนนต์ในจีนจะเติบโตต่อไปภายใน 5 ปี" นายไชยยศ กล่าว
ทั้งนี้ STA มีการส่งออกไปตลาดสำคัญคือ จีน นอกนั้นเป็นตลาดยุโรป สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนส่งออก 85% ของรายได้รวม ส่วนในประเทศ มียอดขาย 15%