บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) อีก 2 พันล้านบาทเป็น 7-9 พันล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันที่สามารถทำได้ 5-7 พันล้านบาทต่อปีไม่นับรวมสต็อกน้ำมัน โดยคาดว่าจะทำได้ในปี 57 หลังมีรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนเพิ่มเข้ามาในสัดส่วนราว 30%
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในแผน 5 ปี(53-57)วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ส่วนที่มากสุด โดยเตรียมจะลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 100 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ใช้เวลาก่อสร้าง 16-17 เดือน คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4/54 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 55
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"เหตุผลที่ให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เนื่องจากมองว่าโครงการนี้จะมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอและสามารถสร้างรายได้เร็ว โดยมีอัตราผลตอบแทนในระดับ 11-12% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสม และมีระยะคืนทุน 8-9 ปี
"ธุรกิจโรงกลั่นผันผวน บางปีกำไรมากบางปีกำไรน้อย เราอยากได้รายได้ที่ steady สัก 30% โดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้า ทำให้เราสนใจ ถ้าค่าการกลั่นผันผวน เราก็ยังมีรายได้ส่วนนี้เข้ามาเสริม ทำให้กำไรเรามั่นคง กำไรต่อหุ้นก็ดีขึ้น" นายอนุสรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์แล้ว 2 โรง โดยแห่งแรกมี 30 เมกะวัตต์ และ อีกแห่ง 8 เมกะวัตต์ เริ่มรับรู้รายได้ในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทจะลงทุนในธุรกิจเอทานอลจำนวน 2 พันล้านบาท รวมทั้งการเข้าร่วมทุน และการขยายธุรกิจเอทานอล โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตเอทานอลอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งเป็นผุ้ผลิตที่ดำเนินการอยู่ และ บางรายเป็นผุ้ผลิตใหม่ที่กำลังเข้าตลาด
นายอนุสรณ์ คาดว่า ภายในปีนี้จะสามารถสรุปการร่วมทุนได้ และจะมีแผนการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม โดยเชื่อว่าหลังบริษัทได้เข้าร่วมผลิตเอทานอล จะสามารถทำให้บางจากฯยกเลิกการผลิตน้ำมันเบนซิน 91 ได้ตามแผนใน 3 ปีนี้หรือภายในปี 55 และหันมาผลิตและขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้มากขึ้น ได้แก่ E20 และ E85 โดยคาดว่าในปี 55 บริษัทจะใช้เอทานอล 3 แสนลิตร/วัน จาก 2 แสนลิตร/วันในปัจจุบัน
รวมทั้ง ไบโอดีเซลที่บริษัทมีแผนจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ B5 ในปีหน้า จากปีนี้ที่เปิดตัว B3 และมีความเป็นไปได้จะออกผลิตภัณฑ์ B7 และ B10 หากภาครัฐให้การสนับสนุน โดยปัจจุบันไบโอดีเซลผลิตเกินความต้องการ โดยมีความต้องการ 3 แสนลิตร/วัน จากที่ผลิตได้ 5 ล้านลิตร/วัน
ส่วนธุรกิจเหมืองแร่โปแตส ที่ล่าสุดบริษัทได้เข้าลงทุน บริษัท เหมืองแร่โปแตสอาเซียนเพิ่มเป็น 16.3% กระทรวงการคลังถือ 22% กลุ่มประเทศอาเซียนถือ 30% ที่เหลือถือโดยรายย่อย นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การที่บริษัทเข้าถือหุ้นบริษัทในสัดส่วนสูงขึ้นเพราะต้องการต่อยอดธุรกิจทำปุ๋ยโดยไม่ต้องนำเข้าแร่โปแตส เพื่อนำมาขายให้กับเกษตรกรในประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกปาล์ม
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในแผน 5 ปี(53-57)วงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ส่วนที่มากสุด ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 100 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ,ลงทุนในธุรกิจเอทานอลจำนวน 2 พันล้านบาท รวมถึงธุรกิจเหมืองแร่โปแตสและโครงการยูโร 4
*ปี 53 คาด EBITDA ไม่ต่ำกว่า 5 พันลบ.
นายอนุสรณ์ คาดว่า EBITDA ในปี 53 จะไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะปีนี้บริษัทไม่มีกำไรจากการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมัน(headging)เหมือนปีก่อนที่มีกำไร headging กว่า 5 พันล้านบาท ส่วน EBITDA ปีก่อนจากการดำเนินงานทำได้กว่า 4 พันล้านบาท
"ปีนี้เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจยังไม่ค่อยดี เราก็มองเศรษฐกิจโลกก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้หวังว่า EBITDA ปีนี้จะสูงมาก แต่ก็ยังหวังลึกๆว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ไม่รวมผลกระทบสต็อกน้ำมัน"นายอนุสรณ์ กล่าว
ส่วนค่าการกลั่นคาดว่าทั้งปี 53 จะได้เฉลี่ย 5.5-6.0 เหรียญ/บาร์เรล โดยในไตรมาส 2/53 ค่าการกลั่นไม่ค่อยดี เพราะราคาน้ำมันปรับตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/53 ที่ระดับราคาสิ้น มี.ค.ปิดที่ 82-83 เหรียญ/บาร์เรล ขณะนี้ราคาน้ำมันอยู่ระดับ 74-75 เหรียญ/บาร์เรล มีโอกาสขาดทุนสต็อกน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในไตรมาส 3-4/53 ราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวสูงขึ้นและได้กำไรจากสต็อกน้ำมัน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว โดยเศรษฐกิจสหรัฐเห็นการฟื้นตัว รวมทั้งผลกระทบจากการเกิดพายุเฮอร์ริเคน ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปี 53 ราคาน้ำมันจะอยู่ระดับ 76-77 เหรียญ/บาร์เรล
ในปีนี้ บริษัทมีกำลังการกลั่น 9-9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน ซึ่งไม่เต็มกำลังการผลิต แต่เดินเครื่องเต็มที่ในส่วน PQI จำนวน 2.5 หมื่นบาร์เรล/วัน