รมว.คลัง เลือกใช้การโพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์เฟซเป็นช่องทางหนึ่งในการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อเจรจากับผู้บริหารกลุ่มเทมาเส็คเกี่ยวกับการขอซื้อหุ้น บมจ.ไทยคม(THCOM) โดยระบุดำเนินการตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี แต่ยืนยันไม่ได้ทำผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ เรื่องการใช้ข้อมูลภายใน(Insider)และการสร้างราคา(ปั่นหุ้น)
"ท่านนายกฯ จึงขอให้ผมพูดคุยกับทางผู้ถือหุ้น เผื่อว่าทางผู้ถือหุ้นจะสามารถกำชับผู้บริหารได้ ความจริงผู้ถือหุ้นไทยคมคือ Shin Corp แต่เจ้าของ Shin Corp อีกทีก็คือ Temasek ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ท่านนายกฯ ฝากให้ผมเกริ่นกับสิงคโปร์ด้วยถึงปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับสัมปทานดาวเทียม รวมถึงเจตนาการครองหุ้นของสิงคโปร์" นายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง ระบุ
รมว.คลัง ระบุว่า สาเหตุที่ต้องเดินทางไปพบผู้บริหารเทมาเส็คที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ศอฉ.ได้ออกหนังสือแจ้งไปที่ THCOM ว่าพฤติกรรมของทางบริษัทอาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากทางผู้บริหาร โดยรู้ดีว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนเพราะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเดินทางไปพร้อมกับนายศิริโชค โสภร เลขานุการส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี
"ผมจึงบินไปสิงคโปร์ และขอเอาศิริโชคไปด้วย เผื่อศิริโชคจะได้แนะนำผมได้ในเรื่องเทคนิคที่เกี่ยวกับดาวเทียม งานนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าจะลงเอยว่าเป็นงานของกระทรวงการคลังหรืออะไร และผมเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยที่ไทยคมและชินคอร์ปเองก็เป็นบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ผมก็เลยควักกระเป๋าซื้อตั๋วไปเอง" นายกรณ์ ระบุ
รมว.คลัง เล่าว่า เดินทางไปถึงประเทศสิงคโปร์ประมาณบ่ายโมง ประชุมที่ Business Center ในโรงแรมที่สนามบินสองชั่วโมงแล้วบินกลับเครื่องเดียวกันตอนประมาณบ่ายสามครึ่ง โดยผู้บริหารเทมาเส็ครับปากจะคุยกับผู้บริหารชินคอร์ปให้ว่าต้องไม่ทำอะไรที่ขัดกฎหมายไทย ส่วนเรื่องหุ้นเขาพร้อมจะคุย เพราะแต่แรกเขาอยากได้ธุรกิจโทรศัพท์มือถือไม่ใช่ดาวเทียม
"เราก็แยกย้ายกันโดยที่ต่างฝ่ายบอกว่าต้องไปดูเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกมากมายถึงจะคุยกันได้อย่างเป็นทางการ เมื่อยังไม่มีความชัดเจน และมีการบ้านที่ต้องเตรียมการก่อนจะพูดคุยกันต่อ ผมจึงไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้กับใคร ทำการบ้านอยู่เงียบๆ และ Temasek ก็ให้ความร่วมมืออย่างดีในเรื่องอื่นๆ ที่พูดคุยกัน ผมทำงานตรงนี้ก็หวังผล แน่นอนที่สุดการออกมาพูดอะไรนอกจากจะมีผลกระทบกับราคาหุ้นแล้วยังอาจจะทำให้คุยกับ Temasek ยากขึ้นด้วย เรื่องนี้จึงเงียบกริบมาเกือบสองเดือน" นายกรณ์ ระบุ
รมว.คลัง เล่าอีกว่า เมื่อมีข่าวออกมาใครก็ไม่รู้ ผู้สื่อข่าวก็นำเรื่องมาสอบถามตนเองซึ่งก็ตอบไปตามความจริง แต่เป็นไปด้วยความระมัดระวังเพราะเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป
"เมื่อปรากฏว่ามี"ใคร"เล่าให้สื่อฟังและปรากฏเป็นข่าว ก็ต้องมีสื่อมาสอบถามผม ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด เมื่อถูกถามก็ต้องตอบไปตามจริง มีบางฉบับรายงานถูกต้องว่าผม"อ้ำอึ้ง"ก็เพราะผมต้องระมัดระวังว่าไม่พูดในส่วนที่ผมไม่มีข้อสรุป ซึ่งส่วนใหญ่คำถามของสื่อก็จะเป็นในเรื่องที่ยังตอบไม่ได้ เช่น "จะซื้อราคาเท่าไร" "จะใช้องค์กรไหนซื้อ" "เงินจะมาจากไหน" ตอบไม่ได้ทั้งสิ้นก็เพราะจะซื้อหรือเปล่ายังไม่รู้เลย! จึงไม่แปลกใจที่ดูเหมือน"อ้ำอึ้ง" นายกรณ์ ระบุ
รมว.คลัง ยังตั้งข้อสังเกตุว่า มีคอลัมนิสต์บางคน ซึ่งไม่เคยคุยกับตนเองโดยตรงในเรื่องนี้ หลับต่อว่าหาว่าตนเองปากคม พูดในสิ่งที่ไม่ควรเอามาพูด โดยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำอย่างไรก็ไม่มีทางถูกใจทุกๆคนได้ เพราะคนที่อยากให้ซื้อก็บอกให้ทำเร็วๆ แล้วแถมแนะว่า เมื่อทักษิณทำผิดแต่แรกไม่ต้องไปซื้อมันหรอก ยึดเลย ส่วนคนที่ไม่อยากให้ซื้อก็ด่าว่ายังไม่สรุปแล้วออกมาพูดทำไม
"ข้อเท็จจริงก็คือเมื่อเป็นข่าวแล้ว ไม่ตอบตามจริงก็ไม่ได้ พอหุ้นขึ้นเพราะคนคิดไปเองว่ารัฐบาลจะซื้อแน่ ฝ่ายค้านก็เฉไฉอ้างว่าเราปั่นหุ้น พอตลาดหลักทรัพย์เขาบอกว่าไม่มีหลักฐาน นอกจากพนักงานไทยคมที่ซื้อหุ้นช่วงนั้น และตรวจสอบอยู่ ฝ่ายค้านก็ไม่ฟัง จะทำให้เป็นเรื่อง Discredit กันให้ได้ มันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ บ้านเมือง" นายกรณ์ ระบุ
รมว.คลัง กล่าวว่า กว่าจะสรุปได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ต้องมีคำตอบในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวกับการทำผิดสัญญาสัมปทานในยุครัฐฐาล พ.ต.ท.ทักษิณอยู่หลายข้อ พูดตามตรงว่าถ้าผิดทุกข้อมูลค่าไทยคมหายไปเยอะมากและบางส่วนอาจไม่ต้องซื้อคืนเลย แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องกฎหมายซึ่งกระทรวง ICT ก็ต้องรับไปศึกษาและให้คำตอบกับกระทรวงการคลัง
"ผมรับคำท้าของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ประธานกรรมาธิการการเงิน การคลังฯ ที่คอยแต่จะวิ่งจับกระแสไปวันๆ จำได้ไหมครับ ท่านผู้นี้ที่เคยเรียกนางแบบปฎิทิน LEO ไปชี้แจงให้กับกรรมาธิการการเงินการคลังฯ โดยไม่ได้มีข้อสรุปใดๆ เลยนี่แหละครับ" นายกรณ์ ระบุ
รมว.คลัง ยืนยันว่า ไม่มีอะไรจะปิดบังเลยแม้แต่นิดเดียว และได้แจ้งกลับไปที่นายสุรพงษ์ว่า ถ้าจริงใจต้องการรู้ข้อเท็จจริงเรื่องว่ามีการปั่นหุ้นไทยคมหรือไม่ ขอให้เชิญโฆษกพรรคท่านเองคือ นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่อ้างว่ามีหลักฐานในมือว่ามีการปั่นหุ้น โดยข้าราชการการเมืองสองคน ชื่อย่อ ก.ไก่ และ ศ.ศาลา ที่บอกว่าได้ทำกำไรไป 300 กว่าล้านบาทนั้น ขอให้นายสุรพงษ์เชิญนายพร้อมพงษ์ด้วยนะครับ มาชี้แจงให้กรรมาธิการทราบว่า"ข้อเท็จจริง" นั้นคืออะไร ตลาดหลักทรัพย์ และ กลต. ก็จะไปประชุมครั้งนี้ด้วยอยู่แล้ว เผื่อเขาจะได้แจ้งจับตรงนั้นได้เลย และผมจะได้แจ้งสื่อมวลชนให้ไปกันพร้อมหน้าด้วย
"ถ้านายพร้อมพงษ์ไม่กล้าที่จะเข้ามาชี้แจง ก็เชื่อได้ว่า เรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ล้วนแต่เป็น "ข้อเท็จ" ที่ไม่มีความเป็นจริงแฝงอยู่เลย!" นายกรณ์ ระบุ
พร้อมแสดงความมั่นใจว่า เมื่อประชาชนเห็นข้อมูลจากทั้ง 2 ฝ่ายแล้วเชื่อว่าจะเข้าใจในข้อเท็จจริง