ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: แรงขายหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 52.1 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 23, 2010 08:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ หลังจากราคาโลหะและราคาพลังงานร่วงลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูความเคลื่อนไหวในการลดยอดขาดดุลงบประมาณของอังกฤษ หลังจากรัฐบาลอังกฤษประกาศมาตรการลดรายจ่ายและขึ้นภาษีครั้งใหญ่เมื่อวานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ลดลง 52.1 จุด หรือ 1.0% ปิดที่ 5,246.98 จุด

หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ถูกเทขายเพราะถูกกดดันจากการร่วงลงของราคาโลหะและพลังงานในตลาดโลก โดยดัชนี FTSE 350 กลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลง 1.9%

ทั้งนี้ หุ้นยูเรเซียน เนเชอรัล รีซอสเซส (ENRC) ปิดร่วง 3% หุ้นคาซัคมิสปิดลบ 3.2% หุ้นเอ็กสตราต้าปิดร่วง 2.6% หุ้นบีจี กรุ๊ป ปิด 3.6% ส่วนหุ้นบีพีปิดลบ 4.4% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นบีพี อันเนื่องมาจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งใหญ่ในอ่าวเม็กซิโก จนส่งผลให้บีพีสูญเงินไปแล้วถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

หุ้นรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปิดบวก 0.7% หุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิ้ง ปิดบวก 4.1% ส่วนหุ้นเทสโก้ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่สุดของอังกฤษ ปิดบวก 1.3%

นายจอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลังอังกฤษ ประกาศมาตรการลดรายจ่ายและขึ้นภาษีครั้งใหญ่เพื่อลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ลงมาให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2558-59 ระบุเป็นการดำเนินการที่รุนแรงแต่ยุติธรรม และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

โดยในการแถลงงบประมาณต่อรัฐสภาเป็นครั้งแรกของรัฐบาลผสมชุดใหม่วานนี้ ออสบอร์นกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการเด็ดขาดในการจัดการกับหนี้สาธารณะ โดยจะพยายามเน้นไปที่การลดรายจ่ายมากกว่าการขึ้นภาษี พร้อมเผยว่า รัฐบาลจะตัดรายจ่ายประจำเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านปอนด์ (4.4 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อปีภายในปีงบประมาณ 2557-2558

ทั้งนี้ นายออสบอร์นกล่าวว่า รายจ่ายประจำของอังกฤษจะเพิ่มขึ้นจาก 6.37 แสนล้านปอนด์ (9.44 แสนล้านดอลลาร์) ในปีงบประมาณ 2553-54 เป็น 7.11 แสนล้านปอนด์ (1,053 พันล้านดอลลาร์) ในปีงบ 2558-59 ซึ่งเป็นผลมาจากรายจ่ายดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันยอดขาดดุลของอังกฤษอยู่ที่ 1.55 แสนล้านปอนด์ (2.30 แสนล้านดอลลาร์) ส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 9.03 แสนล้านปอนด์ (1,339 พันล้านดอลลาร์) หรือเท่ากับ 62.2% ของจีดีพี ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2536


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ