ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร KGI ที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 23, 2010 10:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) ที่ระดับ “BBB+"ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถด้วยผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับ ตลอดจนฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดตราสารอนุพันธ์ สภาพคล่องที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ และรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจจัดการกองทุน

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งจากความไม่แน่นอนของตลาดหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางการตลาดที่ไม่อาจคาดเดาได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความไม่แน่นอนที่เกิดจากความเสี่ยงด้านนโยบายการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บลจ. วรรณ ต่อไป แม้ว่าสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม

นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ โดยคาดว่าการขยายธุรกิจจะทำได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

KGI มีสินทรัพย์รวมเป็นอันดับ 2 ในบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ในตลาดทั้งสิ้น 35 แห่ง โดยเพิ่มขึ้นจาก 6,655 ล้านบาทในปี 51 เป็น 8,059 ล้านบาทในปี 52 และ 10,272 ล้านบาท ณ สิ้นเดือน มี.ค.53 การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสินทรัพย์มีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยการลงทุนบางส่วนเป็นการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยงจากการขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญ อย่างไรก็ตาม เกือบ 90% ของการลงทุนของบริษัทเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ขณะที่ ผลกำไรของ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ยังได้รับแรงกระทบจากการแข่งขันที่ยังคงสูงในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์และจากความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ โดยผลกำไรสุทธิของบริษัทลดลงประมาณเกือบครึ่งจาก 335 ล้านบาทในปี 50 เหลือ 189 ล้านบาทในปี 51 เนื่องจากรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงและการขาดทุนจำนวนมากจากธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม ผลจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ฟื้นตัวทำให้บริษัทมีกำไร 243 ล้านบาทในปี 52 และ 32 ล้านบาทในช่วงไตรมาส1/53 ซึ่งเป็นผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีผลขาดทุนถึง 60 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากผลขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์

ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รายวันโดยเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 16,118 ล้านบาทในปี 51 เป็น 18,226 ล้านบาทในปี 52 และ 21,311 ล้านบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 53 ซึ่งปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รายวันโดยเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น 17% ในปี 53 มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการประกาศบังคับใช้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันได ซึ่งนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายหลักทรัพย์สามารถต่อรองค่าธรรมเนียมโดยเสรีในส่วนของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันที่เกิน 20 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้อยู่ในระดับต่ำโดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมประมาณ 58% ในปี 51 และ 63% ในปี 52 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 64% ของบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ทั้ง 38 แห่งในปี 51 และ 67% ในปี 52 ในแง่ของอัตราการก่อหนี้นั้น บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งที่ระดับ 1.78 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ที่ 2.49 เท่า ณ สิ้นเดือน ธ.ค.52 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคตได้หากต้องการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ