ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 4.92 จุดหลัง FED ตรึงดอกเบี้ย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 24, 2010 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0 - 0.25% ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลกับการแสดงความคิดเห็นของเฟดที่ว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังถูกกดดันจากรายงานยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.ที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ขยับขึ้น 4.92 จุด หรือ 0.05% ปิดที่ 10,298.44 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 3.27 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 1,092.04 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 7.57 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 2,254.23 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.13 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 8 ต่อ 7 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ปัจจัยบวกจากการที่เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25% โดยมีเป้าหมายที่จะพยุงเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้น นอกจากนี้ เฟดส่งสัญญาณว่าอาจจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษต่อไปอีกระยะหนึ่ง

แถลงการณ์ภายหลังการประชุมของเฟดระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ 'ยังคงดำเนินต่อไป' ขณะที่ตลาดแรงงานค่อยๆปรับตัวดีขึ้น ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อไป และในส่วนของตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนนั้น ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลมีการขยายตัวปานกลาง

อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อการแสดงความคิดเห็นของเฟดที่ว่า วิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรปส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น พร้อมกับชี้ว่าสภาวะในตลาดการเงินกำลังส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราการปล่อยกู้ของภาคธนาคารหดตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ประจำเดือนเม.ย.ร่วงลง 33% มาอยู่ที่ระดับ 300,000 ยูนิต/ปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 410,00 ยูนิ เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการซื้อบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลได้หมดอายุลงในเดือนเม.ย.

รายงานยอดขายบ้านใหม่ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค.ดิ่งลง 2.2% สู่ระดับ 5.66 ล้านยูนิต/ปี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้ฉุดดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 1.43% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หุ้นบริษัทรับสร้างบ้านดีดตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อหลังจากราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันอังคาร โดยหุ้นพัลท์กรุ๊ป อิงค์ ปิดบวก 2.1% และหุ้นทูล บราเธอร์ส อิงค์ ปิดพุ่ง 2.5%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค. และกระทรวงแรงงานจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขั้นสุดท้ายประจำไตรมาสแรกปีนี้ และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายเดือนมิ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ