บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า มีมุมมองเป็นลบมากขึ้นสำหรับหุ้น บมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL)เนื่องจากธุรกิจเอทานอลไม่มีกำไรในครึ่งปีหลัง และแนวโน้มปีหน้าน้ำตาลจะยังขาดแคลนจากภาวะภัยแล้ง
แนวโน้มครึ่งปีหลังกำไรจะถูกกดดันจากธุรกิจเอทานอลและโรงไฟฟ้า โดยปัจจุบันราคาวัตถุดิบที่จะนำมาผลิตเป็นเอทานอลมีต้นทุนสูงมากทั้งมันเส้นและโมลาส ซึ่งโรงงานของ KSL ใช้โมลาสเป็นหลักปัจจุบันมีราคาสูงถึง 5,000 บาท/ตัน หรือคิดเป็นต้นทุนเอทานอลที่ 23-24 บาท/ลิตร ไม่คุ้มกับราคาขายที่ได้ทำสัญญาไปแล้วถึง 80% ที่ 23 บาท/ลิตร บริษัทจึงต้องลดการนำโมลาสไปผลิตเป็นเอทานอล ทำให้ผลผลิตเอทานอลลดลงจาก 40 ล้านลิตรเป็น 30 ล้านลิตร ดังนั้น ในครึ่งปีหลังคาดว่าธุรกิจเอทานอลจะแค่พอประคองตัวได้
และ ปัญหาน้ำตาลขาดแคลนอาจจะทำให้ภาครัฐฯต้องขอเพิ่มโควต้า ก จากโรงงานน้ำตาลได้ ซึ่งก็จะทำให้โรงงานน้ำตาลเสียโอกาสในการขายน้ำตาลในส่วนของโควต้า ค ซึ่งได้ราคาดีกว่า แต่มีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่รัฐบาลจะปรับขึ้นราคาน้ำตาลเพราะส่งผลกระทบต่อ ผู้บริโภคหรือหากมีการปรับขึ้นราคาน้ำตาล โรงงานน้ำตาลก็จะได้ประโยชน์เพียงแค่ 30% ของราคาน้ำตาลที่ปรับเพิ่มขึ้น
อีกทั้ง จากภาวะภัยแล้งในปีนี้คาดว่าจะส่งผลต่อปริมาณผลผลิตอ้อยในปีหน้า รวมถึงอัตราการสกัดน้ำตาลก็คาดว่าจะลดลง ดังนั้นมีแนวโน้มที่ปริมาณผลผลิตน้ำตาลในปีหน้า 53/54 จะไม่เพิ่มขึ้นจากฤดูกาลนี้ ดังนั้น คาดว่าปริมาณการขายน้ำตาล เอทานอล และการขายไฟฟ้าก็จะทรงตัวจากปี 52/53
แต่กำไรคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 26% จากการที่ KSL ไม่ได้ทำสัญญาขายล่วงหน้าไว้มากนัก เราต้องปรับประมาณกำไรสุทธิปี 52/53 และปี 53/54 ลงเป็น 612 ล้านบาท และ 849 ล้านบาทตามลำดับ เรามีมุมมองที่เป็นลบต่อ KSL แม้ว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลกจะปรับตัวขึ้น แต่ด้วยระบบน้ำตาลถูกควบคุมโดยภาครัฐทำให้ KSL ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ อีกทั้งปริมาณน้ำตาลที่ผลิตได้ก็ลดลง
ทั้งนี้ ได้ประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ได้ที่ 9.60 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขายที่ 12 บาท หรือสะท้อน PER ปี 53/54 สูงถึง 30 เท่า ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำเป็น"ขาย"สำหรับ KSL
วานนี้(24 มิ.ย.)ราคาหุ้น KSL ปิดที่ 12 บาท ลดลง 0.40 บาท(-3.23%)มูลค่าซื้อขาย 46.81 ล้านบาท