โบรกเกอร์หนุนซื้อหุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)มองแนวโน้มธุรกิจปีนี้ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยได้รับผลดีจากปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก และการระบาดของโรคกุ้งในหลายประเทศ ทำให้ผลผลิตในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ราคากุ้งและราคาปลาทูน่าปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้การที่บริษัทเข้าร่วมประมูล MW Brand ผู้ผลิตอาหารทะเลในปารีส หากชนะประมูลจะเป็นโอกาสที่ดีในการเจาะตลาดส่งออกกลุ่มประเทศอียู โดยคาดว่าจะผลิตในไทยเพื่อคุมต้นทุนต่ำแล้วส่งไปขายในยุโรป เช่นเดียวกับกลยุทธ์เจาะตลาดสหรัฐผ่านบริษัทลูก แต่ก็อาจจะทำให้บริษัทต้องเพิ่มทุน แต่ก็เชื่อว่าประโยชน์ด้านบวกจะช่วยชดเชยการเกิด Dilution ได้
โบรกฯคาดไตรมาส 2/53 กำไรพุ่งเป็นราว 1 พันล้านบาท จากไตรมาส 1/53 มีกำไร 831.22 ล้านบาท เป็นผลจากราคากุ้งและปลาทูน่าที่สูงขึ้น ขณะที่ทั้งปีกำไรมีโอกาสเติบโตถึงกว่า 30% ทั้งจากราคาและปริมาณขายที่ปรับตัวสูงขึ้น และสามารถควมคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายในการย้ายโรงงาน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท)
บล.เคจีไอ ซื้อเก็งกำไร 45.00
บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 49.00
บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 49.00
บล.ฟาร์อีส ซื้อ 51.00
บล.ธนชาต ซื้อ 42.00
นางสาวอังคณา ตั้งวิกรมไกร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)ระบุว่า จากการที่ TUF เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการบริษัท MWBrands ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารทะเล ทูน่า แซลม่อน แมคเคอร์เรล และซาดีนกระป๋องในปารีส และ เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจอาหารทะเลในสหภาพยุโรป หาก TUF ชนะประมูลก็จะเป็นโอกาสในการเจาะตลาดส่งออกในสหภาพยุโรปได้มากยิ่งขึ้น และช่วยให้อัตรากำไรโดยรวมให้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่า TUF จะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับที่บริษัทฯ ใช้กับ Chicken of the Sea ในสหรัฐ คือผลิตสินค้าส่วนใหญ่ในประเทศไทยเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต้นทุนที่ต่ำ แล้วค่อยส่งสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ TUF จะได้ประโยชน์จากขนาดการดำเนินงานและอำนาจการต่อรองที่สูงขึ้น ซึ่งหมายถึงอัตรากำไรโดยรวมที่สูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ คาดว่าไตรมาส 3/53 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มอาหาร รวมถึง TUF ส่วนไตรมาส 4/53 ปกติจะเป็นช่วงที่มีผลประกอบการต่ำสุดของปี เนื่องจากกลุ่มอาหารต้องพึ่งพาสภาวะอากาศ และความสมดุลย์ระหว่างอุปสงค์อุปทานในระดับสูง ดังนั้น เชื่อว่ากลุ่มอาหารจะได้ประโยชน์จากฤดูการส่งออกและราคาอาหารที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 3/53 จากปัญหาภัยแล้งและอุปทานที่จำกัด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า TUF ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าไตรมาส 2/53 บริษัทจะมีกำไรในระดับ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/53 เนื่องจากราคาปลาทูน่า และราคากุ้งที่ปรับสูงขึ้น จากปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก ส่งผลดีต่อยอดการส่งออกของบริษัท แม้ว่าผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าจะปรับราคาสูงขึ้นได้ไม่มากเท่ากุ้งก็ตาม
ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจคือราคาวัตถุดิบอย่างปลาทูน่าที่ปรับตัวขึ้น โดยปกติราคาปลาทูน่ากระป๋องในส่วนของธุรกิจรับจ้างผลิตปลาทูน่า(OEM)จะปรับขึ้นตามต้นทุน บางช่วงอาจจะได้รับผลกระทบทางลบหากบริษัทฯไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายได้ทัน
อย่างไรก็ตาม การประเมินธุรกิจของบริษัทยังไม่รวมกรณีที่บริษัทจะเข้าซื้อกิจการ MW Brand ในฝรั่งเศส ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นผลดีต่อบริษัทในการขยายตลาดส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอียู ขณะที่ Gross Margin ของ MW Brand ดีกว่า TUF หากซื้อกิจการได้ในราคาเหมาะสม น่าจะส่งผลให้ Gross Margin บริษัทสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึง Cost of Fund ด้วย
“เรายังไม่ประเมินผลรวมการเข้าซื้อกิจการ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่หากซื้อกิจการได้จริงมองว่าน่าจะเป็นผลดีต่อบริษัท แม้ตอนนี้ยุโรปจะมีปัญหาเศรษฐกิจ แต่สินค้าของ TUF ถือเป็นสินค้าจำเป็นที่คนต้องบริโภคอยู่แล้ว" นักวิเคราะห์ บล.ทรีนิตี้ กล่าว
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ออกบทวิเคราะห์ว่า TUF ในปีนี้น่าจะมีกำไรสุทธิขยายตัวโดดเด่นถึง 32% เมื่อเทียบปีก่อน โดยหลักมาจากกำไรของธุรกิจกุ้งที่เติบโตดีมาก ปริมาณขายรวมเพิ่มตามการขยายกำลังการผลิต, ไม่มีค่าใช้จ่ายในการย้ายโรงงาน ซึ่งเกิดขึ้นในปี 52 ที่มีจำนวน 250 ล้านบาท และบริษัทยังสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้การเข้าประมูลซื้อ MW Brands ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารทะเลกระป๋องในปารีส โดยหากชนะประมูลจะช่วยให้บริษัทมีการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว แม้ว่าอาจจะต้องเพิ่มทุนบ้าง แต่เชื่อว่าการเติบโตของกำไรสุทธิจะรองรับ Dilution Effect ที่เกิดขึ้นได้