ดังนั้น จึงสะท้อนให้งานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาอยู่ที่ 430 ล้านบาท สูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยเป็นงานที่รอเซ็นสัญญาอยู่ประมาณ 130 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตในทิศทางที่ดี และเชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะมีงานลงสู่ตลาดอีกเป็นจำนวนมาก และทำให้การแข่งขันที่เคยเกิดขึ้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาจะลดลง ถือว่าส่งผลดีต่อผู้ประกอบการทุกราย
นายบดินทร์ กล่าวว่า ปลายปีนี้งานในโครงการรถไฟฟ้าก็น่าจะกลับมา เพราะล่าสุดโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสัญญา 3-4 ก็ได้ผู้ชนะการประมูลเรียบร้อยแล้ว คาดว่าอีก 3-4 เดือนก็น่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ ในโครงการนี้มีงานฐานรากซึ่งเป็นค่าแรงประมาณ 400-500 ลบ.ในแต่ละสัญญา
ส่วนในสัญญาที่ 1-2 ซึ่งเป็นโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน คาดว่าจะรู้ผลการประมูลได้ในเร็วๆ นี้ สายสีเขียวก็คาดว่าจะเปิดให้ประมูลได้ต่อจากสายสีน้ำเงิน และสำหรับโครงการสายสีแดงสายบางซื่อ-รังสิต ที่ได้ผู้ชนะการประมูลไปในช่วงก่อนหน้านี้ และได้เริ่มก่อสร้างไปแล้ว
"แม้ว่าบริษัทฯ จะไม่ได้เข้าไปรับงานโดยตรงแต่บริษัทฯ รับเหมาฐานรากที่เป็นพันธมิตรกันก็ให้ PYLON เข้าไปช่วยงานบางส่วนด้วย ซึ่งถือว่าเป็นงานที่เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม"นายบดินทร์ กล่าว
นายบดินทร์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทฯ รับงานอยู่ประมาณ 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ดีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากช่วงปลายปี 52 ที่บริษัทฯ รับงานอยู่เพียง 30-40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดเท่านั้น นอกจากนั้น ขณะนี้บริษัทฯ ยังเตรียมเข้าประมูลงานใหม่ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าในปีนี้บริษัทฯ จะสามารถผลักดันรายได้เฉพาะธุรกิจรับเหมาฐานรากให้ทะลุ 600 ล้านบาทได้สำเร็จ
ในขณะเดียวกันการแข่งขันที่ลดลงจากปริมาณงานที่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะสะท้อนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรง และความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ทางการเมือง มาอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อผลประกอบการของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ