นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในงวดปี 53 (ต.ค.52-ก.ย.53) ที่ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารในปีนี้ยังอยู่ในประมาณการ 45 ล้านคน/ปี
งวดครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 20% ส่วนงวดครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในช่วง เม.ย.-พ.ค. มีจำนวนผู้โดยสารลดลง แต่ มิ.ย. มีจำนวนผู้โดยสารเริ่มกลับมาดีขึ้น โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีจำนวนผู้โดยสารปรับเพิ่มเป็น 90,000 คน/วัน
และคาดว่าในไตรมาส 3/53(เม.ย.-มิ.ย.53) รายได้จะลดลงเมื่อเทียช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารลดลงประมาณ 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศปรับเพิ่มขึ้น 3.64% แต่ผู้โดยสารในประเทศลดลง 7.8%
และไตรมาส 3/53 มีแนวโน้มที่บริษัทจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีเงินกู้เป็นสกุลเงินเยน จำนวน 7 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 70% ได้ทำสวอปแล้ว ส่วนอีกกว่า 20% มีโอกาสสูงที่จะมีผลขาดทุน โดยปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่ากว่าเงินเยน อยู่ที่ 36.66 บาท/100 เยน จากสิ้น มี.ค.53 อยู่ที่ 35.06 บาท/100 เยน
"เราลุ้นว่าครึ่งปีหลังไม่กำไร ไม่ขาดทุน ไม่นับขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เราน่าจะ maintain กำไร 2.5 พันล้านบาทที่ทำได้ในครึ่งปีแรก" นายเสรีรัตน์ กล่าว
นายเสรีรัตน์ กล่าวว่า ในช่วง 8 เดือนปีงวดปี 53 (ต.ค.52- พ.ค.53) ท่าอากาศยานของบริษัททั้ง 6 แห่งมีปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 13.94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 19.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีจำนวนผู้โดยสาร 40 ล้านคน อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เพิ่มขึ้นเป็น 90,000 คน/วัน ยังต่ำกว่าช่วง Low season ที่มีผู้โดยสาร 1.1 แสนคน/วัน ขณะที่จำนวนผู้โดยสารช่วงต้นปี 53 อยู่ที่ 1.5 แสนคน/วัน
สำหรับโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 6.25 หมื่นล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการรออนุมัติจากที่ประชุม ครม.คาดว่าภายใน 3 เดือนนี้จะได้รับอนุมัติโครงการได้ มิฉะนั้นโครงการจะล่าช้าออกไปอีก ซึ่งโครงการดังกล่าวจะรองรับผู้โดยสารได้อีก 15 ล้านคน/ปี จากปัจจุบัน 45 ล้านคน/ปี คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 59 ใช้เวลา 6 ปี จากปี 54-59
ส่วนแหล่งเงินที่ใช้ดำเนินโครงการดังกล่าว คาดว่าจะกู้เงิน 1.74 หมื่นล้านบาท เบื้องต้นจะขอกู้จากไจก้า ส่วนที่เหลือ 4.3-4.5 หมื่นล้านบาทจะใช้เงินรายได้จากการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือ 2.8 หมื่นล้านบาท
ด้านนายนิตินัย ศิริสมรรถการ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า บริษัทมีแผนพัฒนาที่ดินจำนวน 723 ไร่ข้างสนามบินสุวรรณภูมิ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาหลายแนวทาง เช่น อาจพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในเดือน ส.ค.53 ซึ่งขณะนี้มีภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจเสนอตัวเข้ามาพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
นอกจากนี้ ทอท.มีที่ดินเปล่าที่อยู่ในความครอบครองในต่างจังหวัดกว่า 3 พันไร่ ซึ่งคิดอัตราค่าเช่า 7 บาท/ตร.ม.ซึ่งคณะกรรมการมีมติให้ปรับค่าเช่าให้สอดคล้องกับศักยภาพแต่ละพื้นที่ ซึ่งบางพื้นที่อาจต้องปรับค่าเช่าขึ้น เช่น ภูเก็ต และ เชียงใหม่ แต่บางพื้นที่อาจปรับค่าเช่าลดลง อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้น-ลงค่าเช่าที่ดินต้องเจรจากับกรมธนารักษ์ในฐานะเจ้าของที่ดินก่อน คาดว่าหากดำเนินการได้จะทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ (ROA) เพิ่มขึ้นเป็น 2-4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1%
ทั้งนี้ เป้าหมายของบริษัทต้องการเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่กิจการการบิน (NON AERO) เป็น 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 40% หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 5 พันล้านบาท
"ปี 53 เราคิดว่าจะมีรายได้จาก NON AERO 9,400 ล้านบาท ถ้าไม่ทำอะไรเลย ตามปกติจะเติบโต 6-7% ต่อปี แต่ถ้าดำเนินโครงการเพิ่มรายได้อีก 5,000 ล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า เทียบแล้วจะเติบโตปีละ 16-20%" นายนิตินัย กล่าว