บมจ.ทีพีไอโพลีน(TPIPL) คาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับผลดีจากงบประมาณภายใต้มาตรการไทยเข้มแข็ง และมีรายได้จากธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม แต่ในแง่ของกำไรจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก เนื่องจากราคาถ่านหินที่เป็นเชื้อเพลิงสำคัญปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะปรับขึ้นราคาขายปูนซิเมนต์ในช่วงครึ่งปีหลังอีกราว 300 บาท/ตัน หลังจากช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับขึ้นราคาไปแล้ว 150 บาท/ตัน ซึ่งทำให้กำไรช่วงไตรมาส 2/53 ดีกว่าไตรมาส 1/53
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีพีไอโพลีน(TPIPL) คาดว่า ในครึ่งปีหลังรายได้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับผลดีจากงบไทยเข้มแข็ง ทำให้ยอดการใช้ปูนสูงขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะทรงตัวหรือใกล้เคียงครึ่งปีแรก เนื่องจากต้นทุนเชื่อเพลิง โดยเฉพาะราคาถ่านหินปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัททำประกันความเสี่ยงราคาถ่านหินไว้ 100% ทำให้ช่วยลดภาระได้บางส่วน นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการปรับราคาขายไปแล้วประมาณ 150 บาท/ตันในช่วงไตรมาส 2/53 และเตรียมทยอยปรับขึ้น 200-300 บาท/ตันในครึ่งปีหลัง
"ยอดขายในประเทศครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกเพราะงบไทยเข้มแข็งทยอยเข้ามา อาจจะไม่ต้องส่งออก เพราะว่าเราขายในประเทศได้ดี ส่วนกำไรครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงต้นปีแรกเพราะเจอต้นทุนถ่านหินสูงขึ้น"นายประชัย กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทผลิตปูนซีเมนต์เต็มกำลังการผลิตที่ 9 ล้านตันต่อปี โดยต้นทุนค่าถ่านหินคิดเป็น 40-50% ของต้นทุนทั้งหมด โดยราคาถ่านหินปรับเพิ่มขึ้นจาก 40 เหรียญ/ตันในช่วงสิ้นปีก่อน เพิ่มเป็น 80 เหรียญ/ตันในปัจจุบัน ขณะที่บริษัทได้ซื้อล่วงหน้าถ่านหินที่ราคา 40-80 เหรียญ/ตัน ขณะเดียวกันมีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งอื่นปิดตัวลงจากปัญหาต้นทุนถ่านหินเพิ่มสูงขึ้นมาก
นายประชัย กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทจะเริ่มมีรายได้จากธุรกิจใหม่ ได้แก่ โรงแยกขยะขนาด 1-2 พันตัน/วัน ซึ่งจะรับขยะจาก จ.นครราชสีมา สระบุรี สิงห์บุรี กรุงเทพฯ เป็นต้น และยังมีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ซึ่งเจาะกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะ ซึ่งจะขยายเพิ่มเติม 60 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 40 เมกะวัตต์ โครงการนี้ทำให้บริษัทประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ 600 ล้านบาท โดยธุรกิจโรงแยกขยะและผลิตปุ๋ยจะเริ่มผลิตได้ปลายปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารกรุงเทพที่มีมูลหนี้กว่า 1 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะขอยืดชำระหนี้ออกไปอีก 4-5 ปี และได้เจรจากับดอยช์แบงก์ มูลหนี้ 2 พันล้านบาท จะเจรจาขอยืดอายุหนี้ โดยคาดว่าจะเจรจาเสร็จสิ้นในปีนี้
ด้านนายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารการเงิน TPIPL กล่าวว่า รายได้ของบริษัทโตไม่ถึง 5% ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ปริมาณขายปูนโต 10-20% เนื่องจากมีการตัดราคากัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 54 รายได้ของบริษัทจะเติบโตได้ 10-20% เนื่องจากรับรู้รายได้ธุรกิจกำจัดขยะและธุรกิจปุ๋ยเต็มทั้งปีและภายใต้คาดการณ์ว่าปริมาณขายปูนซีเมนต์จะเติบโต 10-20% เช่นเดียวกับปีนี้
นายภัคพล กล่าวว่า บริษัทยังวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตปูนซีเมนต์เป็น 12 ล้านตันภายใน 3 ปี จาก 9 ล้านตันในปัจจุบัน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินกำลังพิจารณาอยู่ เนื่องจากขณะนี้บริษัทไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินเพิ่มได้ การเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตใหญ่เป็นอันดับ 2 รองมาจากเครือปูนซีเมนต์ไทย และมีกำลังการผลิตมากกว่า บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวงไทย (SCCC)