บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์(LH)คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้น่าจะเติบโตประมาณ 15% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.9 พันล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้อยู่ที่ 1.96 หมื่นล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อน
แต่ขณะนี้มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจจะพิจารณาปรับลดเป้าหมายรายได้ในปีนี้ เนื่องจากธุรกิจในเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง ประกอบกับ ยอดขายช่วงนี้ชะลอตัวไปลงหลังจากที่ผู้บริโภคได้เร่งซื้อและโอนก่อนสิ้นสุดมาตรการลดภาษีอสังหาริมทรัพย์ช่วงกลางปี
"กำไรปีนี้เราโตขึ้น โตใกล้เคียงกับรายได้...มาริ์จิ้นปีนี้เราคิดว่าดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย" นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการผู้จัดการ LH กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้น(มาริ้จิ้น) ในปี 52 อยู่ที่ระดับประมาณ 31% โดยขณะนี้ราคาสวัสุดก่อสร้างยังนิ่ง
"รายได้ปรับขึ้นคงไม่ได้ เพราะโดนผลกระทบไปในช่วงเดือนเม.ย.—พ.ค.แต่ตอนนี้เราคงเป้าเดิมไว้ก่อน เราตั้ง(ยอดรับรู้รายได้)ไว้ 1.96 หมื่นล้านบาท เติบโตสักประมาณ 15% ถ้าจะปรับเป้ารอดูยอดขาย 1-2 เดือนนี้ โดยยอดขายขณะนี้เริ่มกลับเข้ามาภาวะปกติแล้ว"นายอดิศร กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงิน 1 พันล้านบาท อายุ 3 ปี คาดเสนอขายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อนำไปซื้อที่ดินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
อนึ่ง บริษัทมีวงเงินออกหุ้นกู้เหลืออยู่ 5 พันล้านบาทสำหรับการเสนอขายในช่วงปี 53-54
นายอดิศร กล่าวว่า ปัจจุบัน หนี้สินสุทธิต่อทุนของ LH อยู่ที่ประมาณ 0.54-0.55 เท่า โดยมีวงเงินกู้ที่รวมทั้งหุ้นกู้ รวมเป็น 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท โดยมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 4.2-4.3%
สำหรับปีนี้บริษัทมีงบซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 5-6 พันล้านบาท จากปีก่อนใช้ไปราว 4 พันล้านบาท โดยช่วงครึ่งแรกของปีนี้ใช้เงินไปแล้วประมาณ 3 พันล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินไว้รองรับการพัฒนาโครงการที่จะเปิดตัวในปีหน้า
*ครึ่งปีหลังดีขึ้นภายใต้แผนเปิดตัว 12 โครงการใหม่
นายอดิศร คาดว่า ภาพรวมครึ่งหลังของปี 53 ยอดขายจะเติบโตดีกว่าครี่งปีแรก เนื่องจากบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 12 แห่งมูลค่า 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท นับเป็นจำนวนโครงการมากกว่าครึ่งปีแรกที่เปิดตัว 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่สถานการณ์ภาพรวมตลาดเอื้ออำนวยมากกว่า ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อัตราการว่างงานไม่มาก ปัจจัยการเมืองที่นิ่งขึ้น รวมทั้ง อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
12 โครงการใหม่ ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวที่รับรู้รายได้ทันทีเพราะเป็นบ้านสร้างก่อนขาย ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะเปิด 3 โครงการ อาจจะเลื่อนไป 1 โครงการคือ โครงการที่อโศก เพราะยังไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม ก็จะทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้มีจำนวน 16 โครงการ จากแผน 17 โครงการ ซึ่งไม่ได้กระทบกับแผนงานมากนัก เพราะโครงการนี้ก็ไม่สามารถรับรู้รายได้ปีนี้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ LH จะเปิด 2 โตรงการคอนโดมิเนียมในปลายปี ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม สุขุมวิท 40 และ ที่หัวหิน
ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม เดอะรูม 62 จะรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/53 ขณะนี้ยังเปิดขายอยู่ ยอดขายทำได้ครึ่งหนึ่งของมูลค่าโครงการ 2.5 พันล้านบาทแล้ว เหตุที่ขายได้ดีเพราะทำเลอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขขยายจากสถานีอ่อนนุช คาดว่าถึงสิ้นปีนี้ถ้าไม่หมดก็คงเกือบหมด
"ในครึ่งปีหลัง ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจก็ดี การจ้างงานก็ดี ภาวะดอกเบี้ยก็ยังต่ำ การแข่งขันก็ไม่มี แต่ถ้าเป็นตลาดคอนโดฯต้องระวัง เพราะมีการเปิดตัวค่อนข้างจะมาก ส่วนบ้านเดี่ยวเป็นสินค้าไม่หวือหวา ขายได้เรื่อยๆ" นายอดิศร กล่าว
ส่วนมาตรการลดภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หมดอายุไปแล้วเมื่อสิ้น มิ.ย.ที่ผ่านมา อาจมีผลกระทบช่วงสั้นเล็กน้อย เพราะหลายรายเร่งตัดสินใจซื้อก่อนหน้านั้นไปแล้ว คาดว่ายอดขายในเดือน ก.ค.อาจจะต่ำกว่าปกติเล็กน้อย แต่ไม่เป็นสาระสำคัญ
และแม้ว่าปีนี้จะมีซัพพลายใหม่เข้ามามาก แต่ความต้องการก็มีมากเช่นกัน ทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และส่วนหนึ่งเป็นการซื้อเพื่อปล่อยเช่า โดยสินต้าของบริษัทมีหลากหลายทั้งระดับบนและระดับล่าง โดยราคาบ้านเฉลี่ยต่อยูนิตประมาณกว่า 5 ล้านบาท
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากบ้านเดี่ยวคิดเป็น 75-80% ส่วนทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม เพิ่มเป็น 20-25% จากในอดีตสัดส่วนอยู่ที่ 10% และจะเพิ่มขึ้นจากโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดตัวในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของกลุ่มทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม ค่อยๆปรับขึ้น ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดหรือความต้องการในตลาด