นายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ออฟฟิศเมท ผู้จัดจำหน่ายเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงานผ่านระบบแค็ตตาล็อกและระบบ E-Commerce เต็มรูปแบบรายแรกของไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ว่า บริษัทคาดว่าจะสรุปราคาขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป(IPO) 20 ล้านหุ้นได้ในสัปดาห์หน้า จากที่กำหนดช่วงราคา 4.80-5.20 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียน
วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต และต่อยอดธุรกิจเพื่อเพิ่มยอดขายและผลกำไรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งชำระหนี้เงินกู้ระยะยาวที่กู้มาสร้างคลังสินค้า ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยไปได้ 4-5 ล้านบาท ตรงนี้ก็จะกลับมาเป็นผลกำไรของบริษัท
ในปี 53-54 บริษัทฯมีโครงการ OfficeMate Selling Network เพื่อพัฒนาระบบ Contact Center ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ ให้พนักงานขายสามารถทำงานและบริการลูกค้าได้โดยไม่ต้องมาทำงานที่ออฟฟิศ และ โครงการ OfficeMate Learning Center เพื่ออบรมและแนะนำการทำงานผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งจะทำให้เพิ่มพนักงานขายครอบคลุมทั่วประเทศ ส่งผลให้อัตราส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อยอดขายลดต่ำลงในอนาคต โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาท ในการขับเคลื่อนธุรกิจ
บริษัทฯ ยังมีโครงการพัฒนาเว็บไซต์ trendyday.com อย่างเต็มรูปแบบโดยใช้เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อผลักดันสู่รูปแบบห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่ครบวงจรรายแรก พร้อมสร้างระบบการขายผ่านเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจทางออนไลน์โดยจะได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบคอมมิสชั่นผ่านโครงการ Trendyday Affiliate Program เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ในประเทศไทยที่สูงถึง 30% ต่อปี จากฐานผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 16-17 ล้านคน และยังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น จึงถือเป็นตลาดที่น่าสนใจเพราะมีช่องทางการเติบโตที่สูงมาก ในขณะที่ยังไม่มีใครเป็นผู้นำตลาดได้ชัดเจน ซึ่งออฟฟิศเมทมีจุดแข็งที่รายอื่นทำไม่ได้ อาทิ ความชำนาญทางด้านการจัดการสินค้า ความรวดเร็วในการจัดส่ง ความปลอดภัยและน่าเชื่อถือในการรับบริการชำระเงิน ทั้งเงินสดหรือบัตรเครดิตที่พนักงานให้บริการถึงบ้าน
“การที่บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการประเภท Distance Trade ที่ไม่มีหน้าร้านเป็นของตนเอง จึงมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย"
ปัจจุบัน ออฟฟิศเมทถือเป็นผู้ประกอบการประเภท Distance Trade รายแรกและรายเดียวที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยจุดแข็ง 4 ปัจจัยคือ (1) ระบบแค็ตตาล็อค ที่มีสินค้าออฟฟิศซัพพลาย กว่า 10,000 รายการ ภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตชั้นนำและตราสินค้าของบริษัท (House Brand) ที่มีคุณภาพ (2) ระบบ Call Center ที่ได้มาตรฐานโลกและสมบูรณ์แบบที่สุดในวงการของการสั่งซื้อด้วยแค็ตตาล็อคของเมืองไทย
(3) การบริหารระบบ Logistic ที่มีคลังสินค้าที่ได้มาตรฐานจัดเก็บสินค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศ และระบบการจัดส่งสินค้าฟรีในวันทำการถัดไปสำหรับลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง มียอดสั่งซื้อเพียง 499 บาท ด้วยรถส่งสินค้ากว่า 50 คัน ส่วลูกค้าต่างจังหวัด จะจัดส่งสินค้าผ่านบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และบริษัทขนส่งที่น่าเชื่อถือให้ดำเนินการจัดส่งฟรีภายใน 3-5 วันทำการ และ (4) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ระบบ IT) ที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์และความชำนาญของบริษัทฯ ซึ่งช่วยการบริหารจัดการทุกระบบงานให้สามารถประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และช่วยลดต้นทุนในการบริหารงาน
นายวรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 20% จากปี 52 ที่มีรายได้ 914 ล้านบาท ซึ่งทิศทางการเติบโตของรายได้จะมาจากฐานลูกค้าองค์กรชั้นนำของประเทศกว่า 70,000 ราย รวมถึงขยายฐานลูกค้าองค์กรที่มีสาขาทั่วประเทศ ตลอดจนเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจ e-Procurement ด้วยระบบการสั่งซื้อออนไลน์พิเศษเฉพาะองค์กร ซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัท และการขยายฐานกลุ่มลูกค้า trendyday.com เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้มากขึ้น
ทั้งนี้ ภายหลังการย้ายมาที่คลังสินค้าแห่งใหม่ บริษัทมีรายได้ในปี 52 เท่ากับ 914.16 ล้านบาท และกำไรสุทธิ เท่ากับ 26.64 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตคิดเป็น 56% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้
"ณ วันนี้ตั้งแต่สร้างคลังสินค้าเสร็จก็ breakeven แล้ว ระยะยาว fixed cost ก็ไม่ต้องลงเยอะแล้ว ต่อไปอัตราทำกำไรจะดูดี ยิ่งขายได้เยอะเท่าไหร่ กำไรก็ยิ่งดี"นายวรวุฒิ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินในไตรมาส 1/53 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 282.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปี 52 และมีกำไรสุทธิ 13.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% จากช่วงเดียวกันของปี 52 ซึ่งเป็นผลมาจากทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นประกอบกับนโยบาย“สั่งซื้อเพียง 499 บาท รับบริการส่งฟรีทั่วไทย" ทำให้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างมาก
นายวรวุฒิ คาดว่า ไตรมาส 3/53 จะมียอดขายที่ดีหลังจากที่คนชะลอซื้อไปในช่วงไตรมาส 2/53 เพราะมีวันหยุดมาก นอกจากนั้นระยะนี้เป็นช่วงที่ภาครัฐใกล้จะปิดงบ ปกติก็จะมียอดขายสูงสุดที่ของปี ประกอบกับ ช่วงไตรมาส 1/53 เพิ่งแจกแคตตาล็อคสินค้าไป จากนั้นช่วงไตรมาส 2/53 เป็นช่วงทดลองสั่งซื้อสินค้า
ส่วนไตรมาส 4/53 คาดว่ายอดขายจะชะลอจากไตรมาส 3/53 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงต้นปีงบประมาณใหม่
ด้านนางสาวสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การกำหนดช่วงราคามีส่วนลดประมาณ 10-20% ให้กับนักลงทุน โดยคิดเป็นพีอีเรโชประมาณ 10-11 เท่าสำหรับผลประกอบการในปี 53 เมื่อเปรียบเทียบ P/E Ratio ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ณ วันที่ 30 มิ.ย.53 มีค่าเท่ากับ 18.9 เท่า และดัชนีของหมวดธุรกิจพาณิชย์ ที่ 16.8 เท่า
มั่นใจว่าหุ้นของออฟฟิศเมทจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะเป็นบริษัท Distance Trade รายเดียวที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ และมีลักษณะที่แตกต่างจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย จึงถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุน การสรุปราคาขาย IPO จะดูที่ความเหมาะสมของตลาด
ขณะนี้จำนวนหุ้นที่กระจายในครั้งนี้ 20 ล้านหุ้น แบ่งเป็นนักลงทุนสถาบันและรายใหญ่ 10 ล้านหุ้น และรายย่อย 10 ล้านหุ้ น ซึ่งในส่วนของนักลงทุนรายใหญ่แสดงความสนใจเข้ามาเกิน 5 เท่าแล้ว
"ยอมรับสภาพหากจะมีการขายหุ้นในวันแรก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีนักลงทุนขายหุ้นออกมา เพราะราคาไม่แพงมาก และมีปันผล 40% ซึ่งไตรมาส 1 ก็กำไรแล้ว 12 ล้านบาท คิดว่าหุ้นน่าจะได้รับความสนใจ ตลาดไอพีโอก็เริ่มกลับมาแล้ว แต่อาจจะยังไม่เต็มที่ ก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุน"นางสาวสุวภา กล่าว