SC คาด H2/53 ยอดขายโตมากกว่า 20% เล็งปรับขึ้นราคาขายบางโครงการ 5-10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 6, 2010 14:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น(SC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ยอดขายของบริษัทในครึ่งหลังปี 53 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นหรือเติบโตมากกว่า 20% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกที่ไม่ถึง 20%

เนื่องจากในครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่มากจำนวนประมาณ 7-8 โครงการ เมื่อเทียบกับครึ่งแรกที่เปิดโครงการใหม่เพียง 1-2 โครงการ และอีก 1 โครงการที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงที่ผ่านมา จากแผนทั้งปีที่คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ 10-12 โครงการ มีทั้งโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม

บริษัทยังมั่นใจว่าทั้งปี 53 ยอดขายและรายได้จะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่ไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน เนื่องจากความต้องการบ้านของผู้บริโภคยังมีอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะหมดมาตราการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ไปแล้วก็ตาม โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน(backlog) กว่า 2 พันล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 80-90% และส่วนที่เหลือเป็นแนวราบ คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 70%

อนึ่ง รายได้ของบริษัทในปี 52 อยู่ที่ 4,749 ล้านบาท

นายอรรถพล กล่สวว่า ครึ่งปีหลังบริษัทอาจมีการปรับแบบบ้านบ้างเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย แต่ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องฟังก์ชั่นเหมือนเดิม รวมทั้งอาจจะเห็นการปรับขึ้นราคาขายบ้านประมาณ 5-10% ในบางโครงการและบางพื้นที่ ขึ้นกับต้นทุนการก่อสร้างทั้งราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบเพื่อจะได้สอดรับกันและไม่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคด้วย โดยประเมินเบื้องต้นเชื่อว่าราคาต้นทุนในช่วงครึ่งปีหลังอาจปรับขึ้นประมาณ 5-10%

ส่วนการแข่งขันในตลาด พบว่าผู้ประกอบการบางรายปรับขนาดพื้นที่ต่อยูนิตให้เล็กลงนั้น เช่น ลดขนาดห้องในคอนโดมิเนียมเหลือประมาณ 20-22 ตารางเมตรนั้น นายอรรถพล กล่าวว่า บริษัทจะไม่ลงไปแข่งขันด้วยกลยุทธดังกล่าว เนื่องจากเป็นคนละกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยขณะนี้ลูกค้าระดับกลาง-บนยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก บริษัทจึงยังคงนโยบายเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดกลาง-บนในช่วง 3 ปี(ปี 53-55)

"เราเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นความคึกคักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และจะเห็นรูปแบบการแข่งขันใหม่ ๆ ของผู้ประกอบการด้วย ซึ่งในส่วนของบริษัทคงจะไม่ลงไปเล่นตลาดระดับล่าง เพราะกลุ่มลูกค้าเราจะอยู่ในระดับกลาง-บน ซึ่งกลุ่มนี้กว้างและดีมานด์มีต่อเนื่อง ส่วนการที่ผู้ประกอบการบางรายปรับขนาดพื้นที่คอนโดมีเนียมลงมาอีกนั้นคงเพราะว่าเค้ามีกลุ่มลูกค้าของเค้า"นายอรรถพล กล่าว

นายอรรถพล กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บริษัทถือว่ามีความแข็งแกร่งในเรื่องของเม็ดเงินลงทุน เพราะยังมีกระแสเงินสดจากธนาคารพาณิชย์ที่ได้เพิ่มวงเงินกู้เพื่อซื้อที่ดินเป็น 3 พันล้านบาท จากเดิมที่มีวงเงินประมาณ 2 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 20%ต่อปีในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งระยะเวลาในการพัฒนาโครงการ 2 ปี ถึง 2 ปี 6 เดือน

การที่บริษัทมีวงเงินกู้เพิ่มขึ้นดังกล่าว จึงทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องออกหุ้นกู้ในช่วงนี้ อีกทั้งการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นรวมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยจะรักษาให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 39% และอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ที่ 0.8 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ