นางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวในการสัมมนา"จับจังหวะลงทุน...เลือกหุ้น Q3"ว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/53 น่าจะมีลักษณะแบบ sideway เนื่องจากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในภาวะอึดอัดชะลอตัวลง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนจะถูกชะลอความร้อนแรง เพราะไม่ต้องการให้โตเร็วเกินไป, วิกฤติหนี้สาธารณะในยูโรโซน และ เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เป็นปัจจัยที่ฉุดตลาดรวม
แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะได้ปัจจัยบวกในประเทศเข้ามาช่วย ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 1/53 ถึง 12% ซึ่งสูงกว่าจีนที่เติบโตในระดับ 11.9% แต่ก็คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจก็จะชะลอการเติบโตลงเช่นกัน
สำหรับกลยุทธการลงทุน เน้นหุ้นปลอดภัย แนะนำ กลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะ BBL มีสินทรัพย์สูง สินเชื่อเติบโตโดดเด่น
กลุ่มอาหาร เช่น TUF, CFRESH, SSF เนื่องจากผลผลิตกุ้งในไทยค่อนข้างดี ในขณะที่ซัพพลายในสหรัฐมีปัญหาจากกรณีน้ำมันรั่วในอ่าวเมกซิโก ทำให้สหรัฐต้องนำเข้ากุ้งในปริมาณมาก และหุ้น CPF ให้ราคาเป้าหมาย 25.25 บาท เนื่องจากราคาไก่ ไข่ไก่ และหมู ราคาดีขึ้น และออร์เดอร์จะถึงจุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 2-3/53 ส่วนสินค้าเกษตรในปีนี้มาแรงมาก อย่างยางพารา ปกติจะขึ้นลงตามราคาน้ำมัน แต่ในช่วงครึ่งปีแรกกลับปรับตัวสูงขึ้นมาก
กลุ่มบันเทิง น่าลงทุน เพราะราคาปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ แนะนำ MAJOR เพราะมีรายได้จากค่าโฆษณาเข้ามามาก มีกำไรพิเศษ และล่าสุดมีการลงทุนในเคเบิลทีวีร่วมกับกันตนา และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะนำ ROJNA รับผลดีการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่จะขยายตัวมากขึ้น
ขณะที่ กลุ่มพลังงาน มองว่าราคาน้ำมันปรับลดลงอย่างน่าผิดหวังในระยะนี้ และในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังน่าจะอ่อนตัวลง กลยุทธการลงทุนเน้นหุ้นที่มีความปลอดภัย แนะนำ GLOW ซึ่งจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามา และ BANPU ที่เข้าไปขยายการลงทุนในเหมืองถ่านหินออสเตรเลีย
ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธการลงทุนลูกค้าบุคคลสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไตรมาส 3/53 อยู่ในภาวะที่อึดอัดเนื่องจากปัจจัยบวกได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว แนวโน้มการเติบโตน่าจะชะลอลงจากไตรมาส 1/53 และไตรมาส 2/53 ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวได้ดี เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนอยู่ในช่วงการปรับประมาณการ ซึ่งช่วงไตรมาส 2/53 การปรับประมาณการเริ่มน้อยลง เพราะผลประกอบการเริ่มนิ่งแล้ว
"ปีนี้สตาร์ทแรงเพราะผลประกอบการไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ดีดตัวแรง ทำให้ไตรมาส 3 บรรยากาศการลงทุนน่าจะเริ่มถดถอย ภาพอุตสาหกรรมเริ่มเข้าสู่ช่วงฟื้นฟู เนื่องจากได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ภาคบริการก็เริ่มฟื้นฟูตามภาคอุตสาหกรรม"นายสุกิจ กล่าว
นายสุกิจ คาดว่า ตลาดหุ้นไทยชะลอตัวในช่วงไตรมาส 3/53 เพราะนักลงทุนต่างชาติไม่เข้ามาลงทุน และคาดว่าจะชะลอตัวจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4/53 เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจโลกออกมาไม่ดี แต่ถ้าปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเมืองสงบก็จะทำให้ตลาดหุ้นไม่ downside มากนัก แต่การที่รัฐบาลยังไม่ยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ส่วนใหญ่ 19 จังหวัด เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ fund flow ไม่เข้ามาลงทุนในประเทศ
ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในไตรมาส 3/53 ได้แก่ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็อาจจะทำให้ fund flow ไหลกลับเข้ามาได้ โดยกลุ่มทีได้รับประโยชน์ก็จะเป็นกลุ่มแบงก์, การประมูลใบอนุญาต 3G และ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ส่วนปัญหาเรื่องมาบตาพุดได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลแล้ว ก็คาดว่าจะมีคลี่คลายลงภายในไตรมาส 1/54
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทย downside แต่ค่อนข้างจำกัด แนะนำให้ทยอยเก็บ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ(domestic play)เช่นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แบงก์ และสื่อสาร และแนะนำให้ลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลดี เช่น SHIN AP LH และ MK
และเน้นการลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัย คือ หุ้นกลุ่มค้าปลีก แบงก์ สื่อสาร โดยกลุ่มแบงก์ช่วงไตรมาส 2/53 สินเชื่อเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย เช่าซื้อรถยนต์ และในช่วงไตรมาส 3-4/53 สินเชื่อภาคอุตสาหกรรมก็จะกลับมาดีขึ้น คาดว่าสินเชื่อทั้งระบบครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ 9% จากที่เติบโต 5% ในครึ่งปีแรก แนะนำหุ้น KBANK , KTB, TISCO
ส่วนกลุ่มค้าปลีก มองปัจจัยการลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัย และได้รับผลดีจากอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น แนะนำหุ้น CPALL ส่วนกลุ่มสื่อสาร แนะนำ ADVANC เพราะจะได้รับประโยชน์จากการประมูล 3G มากที่สุด แต่ถ้าประมูลไม่ได้ก็ไม่น่าจะกระทบกับผลประกอบการมากนัก
กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจลงทุน ยังได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ แนวโน้มมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากยอดขายในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นมาก และครึ่งปีหลังจะกลับมาคึกคักจากการเปิดตัวโครงการใหม่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะแนวราบ แนะนำลงทุน SPALI เป็น top pick เนื่องจากมียอดขายรอโอน(backlog)สูงสุดในกลุ่ม ตามมาด้วย PS เนื่องจากคาดว่ายอดขายในไตรมาส 2/53 จะดีขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง และการเปิดโครงการในตลาดต่างประเทศเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้ในอนาคต และ LH
ขณะที่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง แนะนำ SEAFCO และ TASCO
และ กลุ่มท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมและร้านอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่ม turnaround โดยกลุ่มอาหาร แนะนำ MINT ขณะที่โรงแรมจะได้แรงช่วยจากมาตรการภาครัฐ และแรงส่งจากนักท่องเที่ยวต่างขาติ เพราะคาดว่านักท่องเที่ยวจีนน่าจะกลับเข้ามา โดยเฉพาะทางการจีนมีนโยบายปรับเพิ่มเงินเดือนประชากรเป็นเท่าตัวภายใน 5 และเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ก็น่าจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวของไทยด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย อาชวินท์ สุกสี/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--