ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (8 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่ร่วงลงเกินคาด และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 120.71 จุด หรือ 1.20% ปิดที่ 10,138.99 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 9.98 จุด หรือ 0.94% ปิดที่ 1,070.25 จุด และดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 15.93 จุด หรือ 0.74% ปิดที่ 2,175.40 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.1 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2327 ต่อ 691 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นขานรับรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 3 ก.ค. ลดลง 21,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 454,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.เป็นต้นมา และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 460,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 เดือน ลดลง 1,250 ราย มาอยู่ที่ระดับ 466,000 ราย ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราการเลย์ออฟพนักงานในสหรัฐกำลังปรับตัวลดลง
ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ลดลงทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานสหรัฐ หลังจากที่ผิดหวังกับตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) ในเดือนมิ.ย.ที่ร่วงลง 125,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 110,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นอย่างคึกคักหลังจากไอเอ็มเอฟปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขึ้นเป็น 4.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 4.1%
ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็น 3.3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.7% ส่วนแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ใช้สกุลเงินยูโร ยังคงทรงตัวที่ระดับ 1% นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียเป็น 7.5% จากเดิม 7% โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนเป็น 10.5% จากเดิม 10% ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็น 2.4% จากเดิม 1.9% และปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจอินเดียเป็น 9.4% จากเดิม 8.8%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีก รวมถึงบริษัท เจซีเพนนี โค และบริษัท เมซี อิงค์ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น โดยหุ้นอะเบอร์ครอมบี แอนด์ ฟิทช์ ปิดพุ่ง 7.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายของสาขาที่เปิดทำการมาแล้วไม่ถึง 1 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% หุ้นเมซี ปิดพุ่งขึ้นเกือบ 3% หุ้นเจซีเพนนี ปิดบวก 6.7%
ผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกในสหรัฐออกมาสอดคล้องกับการรายงานของสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ICSC) ที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐในช่วง 5 เดือนแรกของปีบัญชีซึ่งเริ่มต้นวันที่ 31 เดือนมกราคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4% ซึ่งนับเป็นระดับสูงที่สุดนับแต่ปี 2549
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนพ.ค.ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้