นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. อินเตอร์ไฮด์ (IHL)เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับปรุงที่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อสร้างเป็นโรงงานการผลิตแห่งที่ 7 ซึ่งคาดว่าจะใช้วงเงินประมาณ 100 ล้านบาท สำหรับซื้อเครื่องจักรและปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/53 เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในนิคมอุตสาหกรรมบางปู บนพื้นที่ 12 ไร่ 34 ตารางวา มูลค่า 92 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโดยรวมของบริษัทฯขึ้นอีก 50% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.5 ล้านตารางฟุต/เดือน เป็น 3-4 ล้านตารางฟุต/เดือน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ
ในช่วงแรกบริษัทฯ ได้ย้ายเครื่องจักรบางส่วนจากโรงงานแห่งที่ 6 ไปติดตั้งในโรงงานแห่งที่ 7 ทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตในงานบางส่วนได้ทันที โดยจะทดลองเดินสายการผลิตได้ช่วงเดือนส.ค.นี้ และเริ่มผลิตอย่างเป็นทางการในเดือนพ.ย. ส่วนการรับรู้รายได้คาดว่าจะรับรู้บางส่วนในปีนี้ และจะรับรู้ทั้งหมดตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 54 หลังจากติดตั้งเครื่องจักรใหม่เรียบร้อยแล้ว
นายองอาจ กล่าวว่า สำหรับการขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อรองรับออเดอร์ใหม่ที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น รวมถึงการผลิตรองรับรถยนต์อีโคคาร์แล้ว ยังถือเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในรับงานที่มีขนาดใหญ่จากต่างประเทศด้วย ซึ่งถือเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของบริษัทที่จะหันมารุกงานต่างประเทศมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ระดับ 20% ซึ่งคาดว่าในปี 54 เมื่อโรงงานใหม่เริ่มผลิตได้สัดส่วนการส่งออกน่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 30-40% เนื่องจากบริษัทเตรียมขยายฐานการส่งออกไปยังตลาดทั้งแถบยุโรป และเอเชีย เนื่องจากประเมินว่ายังเป็นตลาดที่มีศักยภาพและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นองค์กรที่แข็งแกร่ง
ลูกค้าหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วย โตโยต้า นิสสัน มิตซูบิชิ ฮอนด้า ฟอร์ด มาสด้า และเชฟโลเรต เป็นต้น
"ปัจจุบันเรามีคำสั่งซื้อรอการส่งมอบยาวถึงสิ้นปี ด้วยกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ใช้เกือบเต็ม 100% ในขณะที่ในปีหน้าพบว่าโมเมนตั้มการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อจะเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากรถยนต์รุ่นปัจจุบันที่กำลังขายดี และรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะออกสู่ตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์อีโคคาร์ ที่คาดว่าจะมีค่ายรถยนต์ส่งวางตลาดอย่างคึกคักในปี 54 ดังนั้นเราในฐานะผู้นำในตลาดเบาะหนังรถยนต์เมืองไทยจึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นที่มาของแผนการเพิ่มกำลังการผลิต"นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ว่า คาดว่าจะผลักดันรายได้ให้เติบโตในอัตรา 30% จากปีก่อน ที่ทำได้ 1,300 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1,800-1,900 ล้านบาทได้ เนื่องจากทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ในครึ่งปีหลังน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับปัจจุบันบริษัทฯ มีออเดอร์ที่รอส่งมอบถึงสิ้นปีนี้ และยังมีออร์เดอร์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง